ชนิดผ้ากันไฟ ที่ใช้ในบ้านและโรงงานต่างกันหรือไม่ใช่ครับ ชนิดของผ้ากันไฟที่ใช้ในบ้านและโรงงานอุตสาหกรรมมักจะแตกต่างกัน เนื่องจากความเสี่ยงและข้อกำหนดในการใช้งานที่แตกต่างกัน
ผ้ากันไฟสำหรับใช้ในบ้าน:
วัสดุ: มักทำจากใยแก้ว (Fiberglass) เป็นหลัก เนื่องจากมีราคาค่อนข้างถูกและสามารถทนความร้อนได้ดีในระดับหนึ่ง (ประมาณ 550 องศาเซลเซียส) บางครั้งอาจมีการเคลือบซิลิโคนเพื่อเพิ่มความทนทานและทำความสะอาดง่ายขึ้น
ขนาด: มักมีขนาดเล็กกระทัดรัด เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานในพื้นที่จำกัด เช่น ในครัว สำหรับดับไฟจากกระทะ หรือคลุมตัวในกรณีฉุกเฉิน
วัตถุประสงค์หลัก: ใช้สำหรับดับไฟขนาดเล็กในระยะเริ่มต้น เช่น ไฟจากน้ำมันทำอาหาร ไฟที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือไฟที่ลุกไหม้เสื้อผ้า
มาตรฐาน: อาจมีมาตรฐานความปลอดภัยในระดับครัวเรือน แต่ไม่เข้มงวดเท่ามาตรฐานอุตสาหกรรม
ผ้ากันไฟสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม:
วัสดุ: มีความหลากหลายมากกว่า ขึ้นอยู่กับประเภทของอุตสาหกรรมและความเสี่ยงภัยที่ประเมินได้ อาจใช้วัสดุที่ทนความร้อนได้สูงกว่า เช่น ผ้าซิลิกา (Silica) ที่ทนความร้อนได้ถึง 1000 องศาเซลเซียส หรือผ้าเซรามิกไฟเบอร์ (Ceramic Fiber) ที่ทนความร้อนได้สูงถึง 1260 องศาเซลเซียส หรือผ้าอะรามิด (Aramid) เช่น Nomex® และ Kevlar® ที่ทนไฟและมีความแข็งแรงสูง
ขนาด: มีหลากหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กสำหรับคลุมอุปกรณ์ ไปจนถึงขนาดใหญ่สำหรับทำม่านกันไฟกั้นพื้นที่ หรือใช้คลุมเครื่องจักรขนาดใหญ่
วัตถุประสงค์หลัก: นอกจากการดับไฟขนาดเล็กแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการลุกลามของไฟในพื้นที่ขนาดใหญ่, ปกป้องอุปกรณ์และโครงสร้างสำคัญ, และให้เวลาในการอพยพมากขึ้น
มาตรฐาน: ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมักมีความเข้มงวดกว่ามาตรฐานสำหรับบ้าน เช่น มาตรฐาน UL, FM Approvals, EN ที่ระบุระดับการทนไฟและคุณสมบัติอื่นๆ ที่จำเป็น
ความแตกต่างหลัก:
ระดับการทนความร้อน: ผ้ากันไฟในโรงงานอุตสาหกรรมมักต้องการระดับการทนความร้อนที่สูงกว่า เนื่องจากความเสี่ยงจากอัคคีภัยที่อาจรุนแรงกว่า
ขนาดและรูปแบบ: โรงงานต้องการผ้ากันไฟในขนาดและรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่และอุปกรณ์ต่างๆ
มาตรฐานความปลอดภัย: โรงงานต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดกว่า และผ้ากันไฟที่ใช้ต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานเหล่านั้น
ดังนั้น การเลือกชนิดของผ้ากันไฟจึงต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงเฉพาะเจาะจงของสถานที่ใช้งาน และปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพในการป้องกันอัคคีภัย