แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 67
1
“เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ” ปัญหาสุขภาพแฝงที่ตามมาหลังการติดเชื้อcovid-19

อย่างที่เราทราบกัน ว่า Covid-19 ส่งผลกระทบให้เกิดกระบวนการอักเสบได้ทั่วทั้งร่างกาย รวมถึงปัญหาสุขภาพทางเพศของผู้ชาย เนื่องจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ได้เข้าไปทำลายเซลล์บุผนังหลอดเลือด ระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่ควบคุมอวัยวะสืบพันธุ์ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศและความสามารถในการเจริญพันธุ์ โดยส่งผลต่อการทำงานของอัณฑะ การสร้างอสุจิ และการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนสำคัญของเพศชาย ทำให้มีความต้องการทางเพศลดลง รวมไปถึงส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนโลหิต ซึ่งมีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศอีกด้วย โดยผลกระทบดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในระยะชั่วคราว และระยะถาวร

นอกจากนี้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตใจ การมีภาวะความเครียดที่รุนแรง อารมณ์แปรปรวน ก็ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน โดยจากการศึกษา พบว่า มีผู้ป่วยประมาณ 64.7% ที่หายจากการติดเชื้อโควิด-19 มีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศโดยทั่วไป โดยปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือเรียกกันว่าอาการ “นกเขาไม่ขัน” (Erectile dysfunction: ED) สามารถแบ่งระดับอาการได้ดังนี้

    อาการนกเขาไม่ขันระดับเล็กน้อย 45.1%
    อาการนกเขาไม่ขันระดับปานกลาง 15.7%
    อาการนกเขาไม่ขันระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง 3.9%

(การศึกษากลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่วยชายไทยที่ติดเชื้อ Covid-19 จำนวน 153 ราย)

“นกเขาไม่ขัน” คุณกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่หรือไม่?

ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือ นกเขาไม่ขัน (ED) คือ ภาวะที่อวัยวะเพศชายไม่สามารถคงตัวไว้ได้ในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรละเลย เช็กสัญญาณเตือนอาการนกเขาไม่ขัน

ความต้องการทางเพศลดลง หรืออาจไม่มีความต้องการทางเพศเลย
ไม่สามารถตอบสนองได้ แม้ว่าจะได้รับการกระตุ้นหรือการเล้าโลมแล้ว
มีอาการหลั่งเร็วกว่าเดิม โดยอาจพบได้ในผู้ที่เริ่มมีอาการในระยะแรก
ตอนรุ่งเช้า เริ่มสังเกตว่ามีอาการนกเขาไม่ขันเหมือนเดิม นั่นอาจเป็นอาการเตือนว่าคุณเริ่มมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ


นกเขาไม่ขัน ทำอย่างไรดี?

Covid-19 เข้าไปส่งผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้หลอดเลือดได้รับความเสียหาย อัณฑะเกิดการอักเสบ เกิดพังผืดขึ้นที่บริเวณปอด ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ อย่างไรก็ตาม สำหรับปัญหาสุขภาพทางเพศดังกล่าว หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ โดยหากมีสาเหตุมาจากความเครียด ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง พยายามผ่อนคลาย ลดความเครียด และหมั่นดูแลสุขภาพของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

หากใครที่เคยติดเชื้อโควิด-19 และพบว่าตนเองมีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ สามารถมาปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และวางแผนเพื่อการรักษาการต่อไป

อาการแบบนี้ สงสัย “ลองโควิด” ถามหา ภาวะลองโควิด (Long Covid) ส่งผลกระทบให้เกิดการอักเสบทั่วทั้งร่างกาย ผู้ป่วยยังคงมีอาการหลงเหลือแม้จะหายจากโควิดมาแล้วกว่า 1 เดือน


2
การจัดฟันเด็ก ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

การจัดฟันในเด็ก ถือเป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมมาก เพราะในปัจจุบันพ่อแม่ผู้ปกครองเริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานกันมากขึ้น เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองได้เล็งเห็นความสำคัญของสุขภาพช่องปากและฟัน จึงพาเด็กไปเข้ารับการจัดฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น ก็มีข้อดีหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรูปร่างของฟัน ที่จะทำให้ฟันเข้าที่หรืออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ปรับโครงสร้างของใบหน้าให้เข้าที่มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสบฟันที่ดีขึ้น และการบดเคี้ยวอาหารที่ดีกว่าเดิม ทำให้เด็กสามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งส่งผลทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีมากขึ้น ป้องกันปัญหาฟันผุ อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟัน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือปรึกษาทันตแพทย์ที่คลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อย่างยาวนานในด้านการจัดฟันในเด็ก และมีเครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย รับรองได้ว่า จะมีความปลอดภัยและทำให้ฟันของบุตรหลานของท่านสวยงามขึ้นอย่างแน่นอน

และวันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางสำหรับเด็กและพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟัน

ซึ่งขั้นตอนการเตรียมตัวของเด็กก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟันนั้น อย่างแรกเลยก็คือ การสร้างทัศคติที่ดีเกี่ยวกับการทำฟันให้เด็กๆ เพื่อที่จะช่วยลดความกังวลที่จะเข้าพบทันตแพทย์และเป็นการช่วยปลูกฝังในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีให้กับเด็กๆ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากเด็กหลายคนมีความกลัวที่จะต้องเข้ารับการตรวจฟัน ซึ่งอาจจะทำให้ไม่ยอมไปเข้ารับการตรวจฟัน อาจจะทำให้เด็กที่สุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดีได้ ต่อมาถึงขั้นตอนของการเข้ารับการจัดฟัน  ทันตแพทย์จะทำการทำประวัติผู้เข้ารับการจัดฟัน ซึ่งประกอบด้วย วิธีการพิมพ์ปากเพื่อสร้างแบบจำลองฟัน ทั้งที่เป็นแบบปูนหรือแบบดิจิตอล

3
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphomas)

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นมะเร็งของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์* ซึ่งเกิดขึ้นที่ระบบน้ำเหลือง (lymph system) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หลัก ๆ ประกอบด้วยต่อมไทมัส ม้าม ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ตามคอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอก ช่องท้อง และอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงอาจเริ่มเกิดขึ้นได้ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใดบริเวณหนึ่ง หรืออวัยวะอันใดอันหนึ่ง เช่น กระเพาะ ลำไส้ ทอนซิล ตับ ตับอ่อน ปอด สมอง ไขสันหลัง

โดยภาพรวม โรคนี้พบได้มากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น พบมากสุดในช่วงอายุ 60-70  ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย ในบ้านเรามะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ในผู้ชาย และอันดับ 9 ในผู้หญิง

เนื่องจากลิมโฟไชต์มีอยู่หลายชนิดย่อย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงมีอยู่หลายชนิดย่อย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin lymphoma/HL) พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบบ่อยในช่วงอายุ 15-30 ปี และมากกว่า 55 ปี มะเร็งชนิดนี้จะตรวจพบเซลล์ผิดปกติที่เรียกว่า "เซลล์รีดสเทิร์นเบิร์ก (Reed-Sternberg cells)" ที่ต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งจะไม่พบในโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน) ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้พบว่ามีอยู่ 6 ชนิดย่อยด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเริ่มเกิดอาการขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น คอ ทรวงอก รักแร้

2. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (non-Hodgkin lymphoma/NHL) พบได้มากกว่าชนิดฮอดจ์กิน (พบประมาณร้อยละ 85-90 ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งหมด) และมีการแพร่กระจายได้เร็ว พบได้ในคนทุกวัย และพบมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น มักพบบ่อยในคนอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้พบว่ามีอยู่กว่า 60 ชนิดย่อยด้วยกัน มะเร็งชนิดนี้สามารถเริ่มเกิดอาการขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองส่วนใดของร่างกายก็ได้ และส่วนใหญ่เกิดจากการกลายพันธุ์ของลิมโฟไซต์ชนิดบี (B lymphocyte)

นอกจากนี้ เมื่อแบ่งตามการเจริญของมะเร็ง มะเร็งชนิดนอนฮอดจ์กินนี้ยังแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ ชนิดค่อยเป็นค่อยไป หรือ indolent (ซึ่งมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งค่อนข้างช้า แต่มักจะรักษาได้ไม่หายขาด) กับชนิดรุนแรง หรือ aggressive (ซึ่งมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้ภายใน 6 เดือน-2 ปี แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องมีโอกาสที่จะหายขาดได้)

อย่างไรก็ตาม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกชนิดมีอาการและวิธีรักษาคล้ายคลึงกัน ส่วนผลการรักษาจะแตกต่างกัน ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สภาพของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา

* ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แบ่งเป็นชนิดบีกับชนิดที

ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B lymphocyte) ทำหน้าที่สร้างสารภูมิต้านทาน (antibody) คือ อิมมูโนโกลบูลิน (immunoglobulin) จำเพาะต่อเชื้อโรคชนิดหนึ่ง ๆ ซึ่งไหลเวียนอยู่ในเลือดและสารน้ำทั่วร่างกาย (เรียกว่า humoral immunity)

ลิมโฟไซต์ชนิดที (T lymphocyte) ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของลิมโฟไซต์ชนิดบี โดย helper T cell สร้างสารลิมโฟไคน์ (lymphokines) ในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำลายเชื้อโรคโดยตรงโดย killer (cytotoxic) T cell (เรียกว่า cell mediated Immunity)   

สาเหตุ

ปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ชัดเจน แต่ผู้ป่วยบางรายอาจพบมีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ (ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากขึ้นในคนบางคน)

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การมีประวัติมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ชนิดใดชนิดหนึ่ง) ในครอบครัว การมีประวัติการติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV หรือ Epstein-Barr virus เช่น โรค infectious mononucleosis)

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยง  ได้แก่ การติดเชื้อไวรัส (เช่น ไวรัสตับอักเสบซี, ไวรัสเอชทีแอลวี-1 หรือ HTLV-1, ไวรัสอีบีวี หรือ EBV, เอชไอวี), การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น เชื้อเฮลิโคแบกเตอร์ไพโลไร ซึ่งทำให้เกิดโรคแผลเพ็ปติก), ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยที่ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ), ผู้ที่เป็นโรคภูมิต้านตัวเอง (เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี), การสัมผัสสารเคมีบางชนิด (เช่น เบนซิน ยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าบางชนิด)


อาการ

อาการที่โดดเด่น คือ มีก้อนบวม (ของต่อมน้ำเหลือง) ที่ข้างคอ รักแร้ หรือขาหนีบ นานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยไม่รู้สึกเจ็บ บางรายอาจมีก้อนขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง

บางรายอาจมีไข้เรื้อรังโดยตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอื่น ๆ หรืออาจมีไข้สูงอยู่หลายวันสลับกับไม่มีไข้หลายวัน อาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ เหงื่อออกตอนกลางคืน หนาวสั่น ทอนซิลโต หรือคันตามผิวหนัง

ผู้ป่วยอาจมีอาการที่เกิดจากก้อนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกดถูกอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น

    ถ้าเกิดในช่องอก ทำให้มีอาการไอ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หน้าบวม คอบวม แขนบวม
    ถ้าเกิดในช่องท้อง ทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก เบื่ออาหาร ดีซ่าน
    ถ้าเกิดในลำไส้เล็ก ทำให้มีอาการน้ำหนักลด ท้องเดิน ลำไส้ไม่ดูดซึมอาหาร
    ถ้าเกิดที่ขาหนีบ อาจมีอาการขาบวมจากภาวะอุดกั้นทางเดินน้ำเหลือง
    ถ้าเกิดในสมอง ไขสันหลังหรือระบบประสาท ทำให้มีอาการปวดศีรษะ แขนขามีอาการปวด หรือชาหรืออ่อนแรง เป็นต้น

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดจากการที่มีก้อนของมะเร็งไปกดหรือทำลายอวัยวะต่าง ๆ เช่น ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของระบบไหลเวียนเลือดหรือน้ำเหลือง ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ (อาจทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้) เป็นต้น

ถ้ามะเร็งลุกลามเข้าสมอง ไขสันหลัง หรือกดถูกเส้นประสาทสันหลัง ก็ทำให้ปวดศีรษะ แขนขามีอาการปวด หรือชา หรืออ่อนแรง

ถ้ามะเร็งลุกลามเข้าไขกระดูก ก็ทำให้สร้างเม็ดเลือดทุกชนิดไม่ได้ ทำให้เกิดภาวะซีด เลือดออกง่าย และติดเชื้อง่าย ซึ่งอาจรุนแรงจนเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษได้

ถ้ามีก้อนมะเร็งที่กระเพาะอาหาร นอกจากเกิดภาวะกระเพาะอาหารอุดกั้นแล้ว ยังอาจมีเลือดออก (อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และตรวจร่างกายพบสิ่งผิดปกติ ที่สำคัญคือ ตรวจพบก้อนบวมของต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้หรือขาหนีบ ลักษณะแข็ง ไม่เจ็บ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม.

บางรายอาจพบว่ามีไข้ ทอนซิลโต ตับโต ม้ามโต ดีซ่าน แขนขาบวม แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตัดต่อมน้ำเหลืองนำไปตรวจพิสูจน์ (lymph node biopsy) ซึ่งจะพบลักษณะของเซลล์ที่เป็นมะเร็ง สำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กินจะพบเซลล์มะเร็งที่เรียกว่า "เซลล์รีดสเทิร์นเบิร์ก (Reed-Sternberg cells)"

แพทย์จะทำการตรวจเลือด (เช่น ดูจำนวนของเม็ดเลือดต่าง ๆ การทำงานของตับ ไต) ตรวจไขกระดูก (ตรวจหาเซลล์มะเร็งในไขกระดูก)

นอกจากนี้ แพทย์จะทำการประเมินภาวะแทรกซ้อนและระยะของโรค ด้วยการเอกซเรย์ปอด ถ่ายภาพอวัยวะตามส่วนต่าง ๆ (เช่น ทรวงอก ช่องท้อง สมอง ไขสันหลัง) ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเพตสแกน (PET scan) และ/หรือทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะทำการรักษาโดยพิจารณาจากชนิดและระยะของโรคมะเร็งต่อมนำเหลือง

ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเจริญช้า (หรือชนิดค่อยเป็นค่อยไป) และมีอาการยังไม่มาก แพทย์จะเฝ้าติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลง และนัดมาตรวจ (เช่น ตรวจเลือด ตรวจทางรังสี) เป็นระยะ จนกว่าจะมีอาการมากขึ้นจึงจะให้การรักษา

ในรายที่มีอาการมาก หรือเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเจริญหรือลุกลามเร็ว แพทย์ก็จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดเพียงอย่างเดียว หรือร่วมกันทั้งสองอย่าง ขึ้นกับชนิดและระยะของโรค เช่น ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน ส่วนใหญ่จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว หรือเคมีบำบัดร่วมกับรังสีบำบัด หรือเคมีบำบัดร่วมกับการให้ยาสเตียรอยด์

ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 1 (พบเพียงบริเวณเดียว) และเป็นชนิดไม่รุนแรง ก็สามารถให้รังสีบำบัดเพียงอย่างเดียว

ในรายที่เป็นชนิดรุนแรงหรือระยะท้าย ๆ ก็จำเป็นต้องให้เคมีบำบัดร่วมกับรังสีบำบัด และยาอื่น ๆ เช่น ยารักษาแบบมุ่งเป้า (targeted drugs เช่น rituximab) ยาอิมมูนบำบัด (immunotherapy drugs) เป็นต้น

ในรายที่มีการเกิดโรคกลับ (relapse) แพทย์จะให้เคมีบำบัดด้วยขนาดยาที่สูง และทำการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิด ก็มักช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นหรือหายได้

ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สภาพของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา

ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ มักจะได้ผลดี สามารถหายเป็นปกติ และมีชีวิตที่ยืนยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน

ถ้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะท้าย หรือชนิดรุนแรง (เจริญเร็ว) การรักษาก็มักจะได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร

การแบ่งระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ระยะที่ 1: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลือง บริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายเพียงแห่งเดียว (เช่น คอด้านซ้ายหรือด้านขวา หรือรักแร้ด้านซ้ายหรือด้านขวา หรือขาหนีบด้านซ้ายหรือด้านขวา) หรือมีรอยโรคที่นอกต่อมน้ำเหลือง (คือที่อวัยวะอันใดอันหนึ่งภายในร่างกาย) เพียงแห่งเดียว

ระยะที่ 2: มีรอยโรคของต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไป (เช่น คอด้านซ้ายกับคอด้านขวา หรือคอด้านซ้ายกับรักแร้ด้านซ้าย หรือขาหนีบด้านซ้ายกับขาหนีบด้านขวา) หรือมีรอยโรคที่อวัยวะอันใดอันหนึ่งและที่ต่อมน้ำเหลือง 1 ตำแหน่งหรือมากกว่า โดยที่รอยโรคทั้งหมดยังจำกัดอยู่ในบริเวณที่อยู่เหนือกะบังลมขึ้นไปด้วยกัน หรือในบริเวณที่อยู่ใต้กะบังลมลงมาด้วยกัน

ระยะที่ 3: มีรอยโรคของต่อมน้ำเหลือง ทั้งที่ในบริเวณที่อยู่เหนือกะบังลมขึ้นไป และในบริเวณที่อยู่ใต้กะบังลมลงมาพร้อมกัน (เช่น คอกับขาหนีบ รักแร้กับขาหนีบ) และอาจพบรอยโรคที่อวัยวะนอกต่อมน้ำเหลือง และ/หรือที่ม้ามร่วมด้วย

ระยะที่ 4: มีรอยโรคที่กระจายไปที่อวัยวะต่าง ๆ (เช่น ปอด ตับ ไขกระดูก สมอง ไขสันหลัง กระเพาะ ลำไส้ กระดูก) มากกว่า 1 ตำแหน่ง โดยไม่นับรวมม้ามกับต่อมไทมัส

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น คลำได้ก้อนบวมของต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอ รักแร้ หรือขาหนีบ หรือมีไข้เรื้อรัง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ)  ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพที่ดูแล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้อไวรัสบางชนิด (เช่น เอชไอวี) สารเคมีบางชนิด (เช่น เบนซิน ยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าบางชนิด) เป็นต้น อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคนี้

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย


ข้อแนะนำ

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหรือเป็นญาติพี่น้องกับผู้ป่วย ไม่ต้องกลัวว่าจะติดโรคจากผู้ป่วย

2. การรักษากับแพทย์ในโรงพยาบาลให้ผลดีมากกว่าการไม่รักษา ผู้ป่วยควรมีกำลังใจเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องตามที่แพทย์นัด และอดทนต่อผลข้างเคียงของการใช้ยาเคมีบำบัด (เช่น ผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร) ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งมักเป็นเพียงชั่วคราว

3. ในปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการรักษาด้วยยากลุ่มใหม่ ๆ (ซึ่งใช้สะดวก ได้ผลดีและมีผลข้างเคียงน้อย) และการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น หรือบางรายอาจหายขาดได้

4. เนื่องจากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาจเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายก็ได้ โรคนี้จึงมีอาการแสดงได้หลากหลาย ขึ้นกับตำแหน่งที่เกิดขึ้นของมะเร็ง และระยะของโรค

อาการที่เห็นได้ชัด คือ ก้อนบวมที่พบและคลำได้จากภายนอก เช่น ก้อนที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ แต่บางรายอาจเกิดขี้นที่อวัยวะภายใน โดยไม่พบก้อนที่ภายนอกก็ได้ ดังนั้นผู้ที่มีอาการเรื้อรังที่หาสาเหตุไม่พบในระยะแรก เช่น ไอเรื้อรัง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคหลอดลมหรือโรคปอด ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคหลอดลมหรือโรคปอดแล้วไม่ได้ผล) ปวดท้องเรื้อรัง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะ ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคกระเพาะแล้วไม่ได้ผล) ปวดศีรษะเรื้อรัง แขนขาชาหรืออ่อนแรง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคของสมองหรือระบบประสาท ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคของสมองหรือระบบประสาทแล้วไม่ได้ผล) ก็ควรมีความอดทน และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง แพทย์ก็จะทำการตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ เพิ่มเติม ในที่สุดก็มักจะตรวจพบร่องรอยของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย

4
รถรับจ้างใกล้ฉัน นนทบุรี ย้ายเครื่องจักร ขนของหนัก สะดวก ปลอดภัย พร้อมทีมงานมืออาชีพ

การขนย้ายเครื่องจักรและของที่มีน้ำหนักมากๆ ต้องการความชำนาญเป็นพิเศษ เนื่องจากเครื่องจักรหรือของหนักนั้นมีลักษณะที่แตกต่างจากสิ่งของทั่วไป ทั้งในแง่ของขนาด รูปทรง และความไวในการเคลื่อนย้าย ซึ่งหากไม่ใช้วิธีการหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องจักรหรือทรัพย์สิน รวมถึงความเสี่ยงในการบาดเจ็บของผู้ขนย้ายได้ รถรับจ้างนนทบุรี ทีมงานที่มีประสบการณ์ในการขนย้ายเครื่องจักรและของหนักนั้น จะมีความรู้ความเข้าใจในการเลือกใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสม เครื่องมือยกของหนัก ซึ่งจะช่วยให้การขนย้ายเป็นไปอย่างปลอดภัยค่ะ ด้วยการวางแผนที่ดีและการประเมินสถานการณ์อย่างละเอียด ทีมงานที่มีความชำนาญสามารถจัดการกับการขนย้ายที่ซับซ้อนได้อย่างราบรื่น ช่วยให้ผู้ที่ต้องการขนย้ายสามารถทำการขนย้ายได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการขนย้าย

   
การบริการขนย้ายเครื่องจักรและของหนักที่สะดวก

บริการรถรับจ้างนนทบุรี มีรถขนาดต่าง ๆ เช่น รถ 6 ล้อรับจ้าง 10 ล้อ รถเทรลเลอร์ และรถเฮี๊ยบ ที่สามารถใช้ในการขนย้ายเครื่องจักรและของหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานที่มีประสบการณ์และมีความรู้ในการขนย้ายจะช่วยให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับเครื่องจักรหรือของที่ขนย้าย

   
ความปลอดภัยในการขนย้าย

ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการขนย้ายของหนัก โดยเฉพาะเครื่องจักรที่มีมูลค่าสูง รถรับจ้างนนทบุรี ที่มีมาตรฐานและทีมงานมืออาชีพ จะช่วยตรวจสอบเส้นทางการขนย้ายอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อป้องกันความเสียหายให้กับสินค้าของลูกค้า

   
รถรับจ้างนนทบุรี ทีมงานมืออาชีพพร้อมให้บริการ

ทีมงานของ บริการรถรับจ้างนนทบุรี ประกอบด้วยผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์สูงในการขนย้ายเครื่องจักรและของหนัก และเจ้าหน้าที่ช่วยขนย้ายที่มีความชำนาญ โดยทีมงานจะมีการเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างดี ทั้งการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพื่อป้องกันการกระแทกและการขนย้ายอย่างปลอดภัย รวมทั้งการประสานงานอย่างเป็นมืออาชีพเพื่อให้การขนย้ายเสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็ว

   
รถรับจ้างนนทบุรี บริการครบวงจร

บริการรถรับจ้างนนทบุรี ไม่เพียงแต่ขนย้ายเครื่องจักรหรือของหนักเท่านั้น แต่ยังมีบริการเสริมอื่น ๆ เช่น การบรรจุหีบห่อ การยกของหนัก รวมถึงการจัดการเรื่องการจอดรถและการจัดการเส้นทางให้เหมาะสมกับการขนย้ายในแต่ละพื้นที่ ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่า ทั้งการขนย้ายและการให้บริการจะทำอย่างครบวงจรและเป็นไปตามความต้องการค่ะ

   
รถรับจ้างนนทบุรี บริการ 24 ชั่วโมง

อีกหนึ่งข้อดีของการใช้ บริการรถรับจ้างนนทบุรี คือการมีบริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าคุณจะต้องการขนย้ายเครื่องจักรหรือของหนักในเวลาที่เร่งด่วนหรือช่วงเวลาที่ไม่ปกติ ทีมงานพร้อมที่จะให้บริการตลอดเวลา โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการที่ล่าช้า หรือเวลาที่ไม่สะดวก

   
รถรับจ้างนนทบุรี ราคาถูก

การขนย้ายเครื่องจักรและของหนักอาจดูเหมือนเป็นการลงทุนที่สูง แต่ รถรับจ้างนนทบุรี มีบริการที่มีราคาย่อมเยาและคุ้มค่า โดยการคิดราคาจะพิจารณาจากระยะทางและลักษณะของการขนย้าย ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกบริการที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณได้ โดยยังคงมั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการขนย้าย

   
รถรับจ้างนนทบุรี

การรับประกันความพึงพอใจ เราพร้อมให้บริการด้วนความระมัดระวังหากเกิดข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ในระหว่างการขนย้าย ทีมงานจะพร้อมแก้ไขและจัดการปัญหาทันที เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุดและมั่นใจว่าของทุกชิ้นจะถึงปลายทางอย่างปลอดภัย รถรับจ้างนนทบุรี ขนย้ายที่สะดวกในทุกพื้นที่ ครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างขวางและสามารถให้บริการขนย้ายได้ทั่วทั้งจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในนนทบุรี ทีมงานพร้อมให้บริการขนย้ายถึงที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางที่ยากลำบาก

การขนย้ายของที่มีน้ำหนัก ในนนทบุรีไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากเลือกใช้ บริการรถรับจ้างนนทบุรี ที่มีความเชี่ยวชาญและทีมงานมืออาชีพ เพียงแค่ติดต่อผ่านช่องทางที่สะดวก ทีมงานจะมอบคำแนะนำเกี่ยวกับการขนย้าย ประเมินราคา และเตรียมรถพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้การขนย้ายของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุดค่ะ เลือกใช้ บริการรถรับจ้างนนทบุรี เพื่อขนย้ายเครื่องจักรและของหนักอย่างมั่นใจ พร้อมทีมงานมืออาชีพที่จะทำให้ทุกการขนย้ายเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยค่ะ

5
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


6
จัดฟันบางนา: ใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใส เฉพาะแค่ตอนนอนได้หรือไม่
 
การจัดฟันแบบใส ถือว่าเป็นการจัดฟันรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะทันตแพทย์จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาทำให้มีผลการรักษาที่แม่นยำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟัน ลักษณะการขึ้นของฟันที่เกิดจากความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่อาจจะส่งผลต่อรูปร่างฟันได้ การจัดฟันแบบใส ถือว่าได้รับความนิยมในหมู่ดารา นักแสดง หรือคนทำงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ ที่ต้องใช้หน้าตา การจัดฟันแบบใส จึงสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบใส ก็มีข้อจำกัดด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน

การจัดฟันแบบใส ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เข้ารับการจัดฟันด้วย เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์วางไว้ เพราะถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟันไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ก็อาจจะทำให้ผลการรักษาเกิดการคลาดเคลื่อนได้ ในการสวมใส่เครื่องมือนั้น มีความจำเป็นมากสำหรับการจัดฟัน เพราะตังเครื่องมือการจัดฟันจะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยทำให้ฟันของเราเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม หรือตำแหน่งที่ทันตแพทย์ได้วางแผนไว้ เพื่อให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพึงพอใจ และสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างแท้จริง สำหรับคนที่กำลังเข้ารับการจัดฟันแบบใส หรือคนที่กำลังจะเข้ารับการจัดฟันแบบใส มีข้อสงสัยว่า  เราสามารถที่จะสวมใส่เครื่องมือเฉพาะตอนกลางคืนหรือเวลาที่เรานอนหลับได้หรือไม่
 
ซึ่งวันนี้เรามีคำตอบมาฝากกัน ก่อนอื่นเราจะมาทำความเข้าใจในเรื่องของการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันแบบใสกันก่อน ในการใช้เครื่องมือจัดฟันแบบใส อาจไม่ง่ายเหมือนที่คิด หลายคนคิดว่า เครื่องมือการจัดฟันแบบใสสามารถถอดเข้าออกได้สะดวก สบาย  ทำให้เกิดความละเลยในการสวมใส่เครื่องมือ บางคนคิดว่า ค่อยใส่เครื่องมือตอนกลางคืนหรือตอนที่นอนหลับก็ได้ ไม่น่าจะมีผลอะไร แต่ต้องบอกเลยว่า การใช้เครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น  จะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้เข้ารับการจัดฟันด้วย

การที่เครื่องมือแบบใส สามารถถอดเข้าออกได้นั้น สำหรับบางคน ก็อาจกลายเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน เนื่องจากผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะจำเป็นต้องใส่เครื่องมือแบบใส ไม่ต่ำกว่าวันละ 20-22 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีและมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง ดังนั้น คำถามที่ว่า สวมใส่เครื่องมือการจัดฟันเฉพาะตอนกลางคืนหรือเวลานอนหลับได้ไหม

ตอบเลยว่า ไม่ได้ เนื่องจากช่วงเวลาเฉพาะตอนนอนจะสั้นไปที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนฟัน ตามคำแนะนำทันตแพทย์ เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใส จะทำงานเฉพาะขณะผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่เครื่องมืออยู่เท่านั้น จึงแนะนำให้ใส่เครื่องมือการจัดฟันไว้ตลอดเวลาทั้งกลางวัน และกลางคืน ยกเว้นขณะรับประทานอาหาร แปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันเท่านั้น  นี่ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติที่มีความสำคัญและเป็นปัจจัยสำคัญของการเข้ารับการจัดฟันแบบใส เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีมาตรฐาน ตามหลักสากล และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน

หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส รวมไปถึงการรักษาทางทันตกรรมรูปแบบอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม การจัดฟันในเด็ก ซึ่งทางเรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน แต่สำหรับการจัดฟันแบบใส ทางคลินิกเราได้รับการรับรองจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้อย่างมีมาตรฐานสากล


ทำให้มีความน่าเชื่อถือ มีความปลอดภัยแก่ผู้เข้ารับการรักษา ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวกันสวยงามได้อย่างแน่นอน เพราะคลินิกเรา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ปราศจากปัญหาที่คอยกวนใจ เพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของปัญหาฟัน

7
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


8
รถรับจ้างราคาถูก ขนย้ายต้นไม้ง่ายๆ กับ รถรับจ้างอุดรธานี ขนอย่างไรไม่ให้ต้นไม้ตายหรือหัก

ขึ้นชื่อต้นไม้ นั้นถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ที่เมื่อต้องการ ขนย้าย จำเป็นมากๆ เราจำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษเลยนะคะ  เราควรให้ความสนใจให้ความใส่ใจและระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะช้ำง่าย หักง่าย เปราะบางนั่นเองคะ หาก ขนย้ายต้นไม้ โดยไม่ถูกวิธี ซึ่งอาจทำให้ต้นไม้เกิดความเสียหายได้นั่นเองจนไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีกค่ะ หรือทำให้ต้นไม้ตายได้ค่ะ ขนส่งเราจะมาแนะนำขั้นตอนการขนย้ายต้นไม้ค่ะ ขนอย่างไรไม่ให้ต้นไม้ตายหรือหัก และนี่คือขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณสามารถขนย้ายต้นไม้ได้อย่างปลอดภัยค่ะ


1. การเตรียมตัวก่อนขนย้าย

แน่นอนค่ะว่า ก่อนที่เราจะขนย้ายต้นไม้อะไร จำเป็นมาก ที่จะศึกษาลักษณะของต้นไม้ ซึ่งก่อนขนย้ายควรศึกษาลักษณะเฉพาะของต้นไม้ อย่างเช่น ระบบราก ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม และขนาดของต้นไม้ เพื่อวางแผนการขนย้ายได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น ถ้าต้นไม้ต้นเล็ก ก็สามารถใช้ รถกระบะรับจ้าง ได้ แต่หากเป็นต้นไม้ใหญ่ อาจจำเป็นต้องใช้ รถหกล้อพื้นเรียบ ในการขนย้ายค่ะ

อีกวิธีนั่นก็คือการตัดแต่งกิ่งและใบ ซึ่งการตัดแต่งกิ่งและใบนั้นจะช่วยลดน้ำหนักของต้นไม้และลดการสูญเสียน้ำของต้นไม้ระหว่างการขนย้ายค่ะ แต่การตัดแต่งกิ่งก็ควรตัดแต่งเพียงเล็กน้อย เพราะถ้าตัดเยอะจนเกินไปจะทำให้ไปกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ได้ค่ะขั้นตอนนี้ต้องระวังนะคะ และที่สำคัญค่ะ ก่อนขนย้ายควรรดน้ำให้เพียงพอค่ะ ก่อนที่จะขนย้ายประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้ต้นไม้มีความชุ่มชื้นในระหว่างการเดินทางไปยังปลายทางค่ะ


2. ขั้นตอนการขนย้าย

เมื่อได้ วัน-เวลา ที่จะขนย้ายแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการจัดการกับต้นไม้ที่เราจะขนย้ายค่ะ โดยขั้นตอนแรกค่ะคือ เราจะขุดดินและรักษารากต้นไม้ไว้ด้วย โดยการขุดดินรอบๆ ต้นไม้ให้กว้างพอที่จะรักษาระบบรากไว้ได้มากที่สุดค่ะ และซึ่งต้องพยายามหลีกเลี่ยงการตัดรากหลักค่ะ แต่หากจำเป็นต้องตัดจริงๆ ก็ต้องใช้เครื่องมือที่คมและสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อของรากต้นไม้ค่ะ

เมื่อทำการขุดและตัดแต่งรากเรียบร้อยแล้ว และสิ่งสำคัญก็คือการห่อรากต้นไม้ ด้วยวัสดุป้องกัน โดยใช้วัสดุอย่างผ้ากระสอบหรือพลาสติกคลุมราก สิ่งเหล่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นไม้สูญเสียน้ำมากเกินไป และไม่ให้เกิดความเสียหายของรากระหว่างการขนย้ายค่ะ สำหรับต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ควรที่จะใช้เครื่องมือช่วยยก อย่างเช่น รถยก รอก หรือใช้ บริการรถเฮี๊ยบรับจ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกินการหักหรือฉีกขาดของลำต้นและกิ่งก้านของต้นไม้ค่ะ


3. การปลูกใหม่หลังขนย้าย

เมื่อการ ขนย้ายต้นไม้ เสร็จสิ้น ต่อไปจะเป็นการ เลือกสถานที่ปลูกที่เหมาะสมค่ะ และนั่นหมายความว่าสถานที่ใหม่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับต้นไม้ อย่างเช่น แสงแดด ดิน และระยะห่างจากต้นไม้ ต้นอื่นๆ ค่ะ เตรียมหลุมปลูก โดยการขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับระบบรากของต้นไม้ได้ และใส่วัสดุปลูกที่มีธาตุอาหารเพียงพอ จากนั้นวางต้นไม้ในหลุมอย่างระมัดระวัง ปรับระดับให้ตรง โดยการใช้ไม้หรือเชือกช่วยยึดลำต้นเพื่อป้องกันการล้มในช่วงแรกค่ะ จากนั้นรดน้ำทันทีหลังการปลูกและดูแลต้นไม้โดยรดน้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงแรก รวมถึงตรวจสอบอาการของต้นไม้ เช่น ใบเหี่ยวไหม เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาได้ทันทีค่ะ


4. เคล็ดลับเพิ่มเติม

การขนย้ายต้นไม้ควรที่จะขนย้ายในช่วงที่อากาศเย็นหรือมีความชื้นสูง เช่น ช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อลดความเครียดของต้นไม้ และหากต้นไม้มีขนาดใหญ่มาก สิ่งสำคัญคือควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทที่ให้บริการขนย้ายต้นไม้โดยเฉพาะค่ะ

การ ขนย้ายต้นไม้ อย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยรักษาชีวิตของต้นไม้ได้ แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ต้นไม้เติบโตได้อย่างแข็งแรงในสถานที่ใหม่ หากคุณทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำ รับรองว่าต้นไม้ของคุณจะไม่ตายอย่างแน่นอนค่ะ เรามีความหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่คุณที่ได้อ่านนะคะ หรือหากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม หรือต้องการ รถรับจ้างขนย้าย ในการขนย้ายต้นไม้ สามารถติดต่อได้เลยค่ะ
รถรับจ้างอุดรธานี บริการรถรับจ้างทุกชนิด

เรามีรถทุกชนิดพร้อมให้บริการ ด้วยทีมงานมืออาชีพ ราคาย่อมเยา ตรงเวลา รวดเร็ว ปลอดภัย มั่นใจในคุณภาพ ขนส่ง พร้อมดูแลทุกการขนย้ายของคุณค่ะ รถกระบะรับจ้าง รถสี่ล้อใหญ่รับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง รถสิบล้อรับจ้าง รถเทรลเลอร์รับจ้าง รถเฮี๊ยบรับจ้าง ให้เราช่วยคุณขนย้ายในทุกๆ ความต้องการค่ะ

9
อันตรายจากการสำลักอาหารขณะให้อาหารสายยาง

การให้อาหารทางสายยาง เป็นการให้อาหารสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้หรือผู้ที่มีปัญหาภาวะการกลืนอาหารลำบาก ซึ่งภาวะการกลืนอาหารลำบากนั้น สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปอาจจะมีสาเหตุมาจากแผลภายในลำคอทำให้ความสามารถในการกลืนอาหารลดลง โดยส่วนใหญ่มักพบในผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ ทำให้สามารถกลืนอาหารได้อยากไปด้วย สำหรับอาหารที่จะนำมาให้ผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยางนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารปั่นผสมหรืออาหารเหลวใสซึ่งมีการออกแบบสูตรโดยนักโภชนาการเพื่อให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ

นอกจากนี้การเตรียมอาหารปั่นผสมหรือเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับให้อาหารทางสายยางจะต้องมีความสะอาดปลอดภัยเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพ สำหรับการให้อาหารทางสายยาง จะต้องกระทำโดยผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการให้อาหารทางสายยาง เพราะทุกขั้นตอนจะต้องทำด้วยความปลอดภัยและต้องคำนึงถึงเรื่องความสะอาดเป็นหลัก เพราะการให้อาหารทางสายยางมีขั้นตอนหลายขั้นตอนที่ต้องละเอียดอ่อนและต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากการให้อาหารทางสายยางนั้น สามารถทำให้เกิดภาวะเสี่ยงได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาขณะให้อาหารทางสายยาง ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอาจจะมีอาการสำลักอาหาร ซึ่งการสำลักอาหารถือว่าเป็นอันตรายมากเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อภายในปอด หากอาหารเข้าไปในปอดจะทำให้เกิดการติดเชื้อในปอดได้

ภาวะการสำลักอาหาร คือการที่มีเศษอาหารหรือน้ำ หล่นเข้าไปอยู่ในหลอดลมซึ่งจะทำให้เกิดอาการไอติดต่อกันหลายครั้ง เพื่อขับดันให้เศษอาหารนั้นหลุดออกไปจากหลอดลม ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อเกิดการกลืนอาหารขึ้นโคนลิ้นจะผลักอาหารให้เข้าไปอยู่ในคอหอย จากนั้นฝาปิดกล่องเสียงจะเคลื่อนตัวลงมาปิดทางเข้ากล่องเสียง รวมทั้งสายเสียงทั้งสองข้างจะเคลื่อนตัวมาชิดกันเพื่อปิดทางเข้าออกของหลอดลมทำให้อาหารที่กำลังจะเคลื่อนผ่านลงไปในทางเข้าของหลอดอาหารนั้น ไม่สามารถหลุดเข้าไปในหลอดลมได้จึงไม่เกิดการสำลักอาหารขึ้น

แต่โดยปกติแล้วภาวะการสำลักอาหารเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น พูดคุยขณะรับประทานอาหาร ฝาปิดกล่องเสียงและสายเสียงจะเปิดออก เพื่อให้เกิดเสียงพูดทำให้อาหารตกลงไปในหลอดลมและเกิดการสำลักอาหารขึ้นได้ รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดบริเวณคอหอย เช่น ผ่าตัดโคนลิ้น ผ่าตัดมะเร็งกล่องเสียง ก็จะทำให้การทำงานของอวัยวะเหล่านี้ทำงานได้ไม่สมบูรณ์จึงเกิดการสำลักอาหาร เช่นเดียวกับ ผู้ที่ต้องให้อาหารทางสายยางที่เราจะเกิดภาวะเสี่ยงต่อการสำลักอาหารได้ง่าย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผู้ป่วยที่ได้รับการดมยาสลบและมีการใส่เครื่องช่วยหายใจ บางครั้งจะทำให้สายเสียงบวมและทำงานผิดปกติได้จึงเกิดภาวะเสียงแหบและการสำลักอาหารขึ้นได้


สำหรับการรักษาอาการสำลักอาหารขึ้นอยู่กับสาเหตุและตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดการสำลัก บางกรณีสามารถรักษาได้หรือยาแต่ในบางกรณีอาจต้องใช้การฝึกกลืน ฝึกการออกเสียงเพื่อให้สายเสียงแข็งแรงขึ้นและอาจจะต้องอาศัยการผ่าตัดซึ่งภาวะการสำลักอาหารบ่อยหรือรุนแรง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุสามารถทำให้เกิดทางเดินหายใจ อักเสบติดเชื้อได้เช่น หลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบ อย่างไรก็ตามหากมีการสำลักอาหารไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือผู้ป่วยถ้าเกิดการสำลักอาหาร ควรจะหยุดรับประทานอาหารทันที ถ้าหากในกรณีที่ต้องให้อาหารทางสายยาง ผู้ดูแลควรหยุดการให้อาหารทันที จากนั้นถ้ามีอาการสำลักอาหารควรจัดถ้านั่งให้ก้มไปข้างหน้าเล็กน้อยหรือนอนตะแคงคว่ำ และควรนำอาหารหรือฟันปลอมที่อยู่ในปากออกให้หมด ไม่ควรทำการล้วงคอเด็ดขาด

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจผิดปกติ หน้าซีดปากเขียวช้ำ ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที เห็นได้ว่าการสำลักอาหารถือเป็นเรื่องเล็กที่ไม่ควรมองข้าม แม้การสำลักอาหารเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เป็นปัญหาใหญ่ได้ เพราะหากสำลักอาหารและอาหารเข้าไปอยู่ในปอดอาจส่งผลให้ปอดติดเชื้อหรือผู้สูงอายุ บางรายอาจสำลักมาก ๆ จนเกิดความกลัวการกลืนอาหาร และไม่ยอมรับประทานอาหาร ก็จะนำไปสู่ปัญหาภาวะขาดสารอาหารได้ เพราะฉะนั้น ต้องระมัดระวังให้มากสำหรับในผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยางผู้ดูแลจะต้องหมั่นสังเกตสายยางให้อาหารและสังเกตอาการของผู้ป่วยว่ามีความผิดปกติหรือไม่เพื่อให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยในการให้อาหารทางสายยางนั่นเอง

10
Doctor At Home: ดีซ่านสรีระในทารกแรกเกิด (Physiologic jaundice)

ทารกแรกเกิดที่แข็งแรงเป็นปกติประมาณร้อยละ 60 อาจมีอาการดีซ่านได้ ทั้งนี้เนื่องจากตับของทารกยังทำงานไม่ได้เต็มที่ คือ ยังไม่สามารถขจัดสารสีเหลือง ได้แก่ บิลิรูบิน (bilirubin)* ที่เกิดจากการแตกของเม็ดเลือดแดงของทารกในปริมาณมาก จึงทำให้มีการคั่งของสารนี้จนเกิดอาการดีซ่าน เรียกว่า ภาวะดีซ่านสรีระ (physiologic jaundice) ซึ่งจะตรวจไม่พบโรคหรือความผิดปกติใด ๆ

ภาวะดีซ่านสรีระพบได้บ่อยในทารกที่ดูดนมหรือน้ำได้น้อยเกินไป

ทารกที่คลอดก่อนกำหนดและทารกที่ตัวเล็กกว่าปกติมีโอกาสเป็นดีซ่านสรีระมากกว่าทารกที่คลอดปกติ

*บิลิรูบิน (bilirubin) เป็นสารสีเหลือง ซึ่งเกิดจากการสลาย (แตก) ตัวของเม็ดเลือดแดง โดยปกติตับจะทำหน้าที่ดึงเอาสารนี้ออกจากกระแสเลือด และนำไปสร้างน้ำดี

น้ำดีส่วนหนึ่งจะเก็บสะสมอยู่ในถุงน้ำดี ซึ่งต่อมาจะไหลผ่านท่อน้ำดีร่วม (common bile duct) ลงไปในลำไส้เล็กเพื่อช่วยย่อยอาหารพวกไขมัน น้ำดีส่วนที่เหลือจะไหลโดยตรงจากตับผ่านท่อตับ ท่อน้ำดี ลงไปที่ลำไส้เล็ก

ถ้าหากเกิดความผิดพลาดเกี่ยวกับขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการดังกล่าว เช่น เม็ดเลือดแดงแตกตัวมากเกินไป (เช่น ที่พบในโรคเม็ดเลือดแดงแตก) ท่อน้ำดีอุดตัน ตับอักเสบ ตับไม่สามารถขจัดสารบิลิรูบิน เป็นต้น ก็จะทำให้มีการคั่งของสารบิลิรูบินในกระแสเลือด (hyperbilirubinemia) กลายเป็นดีซ่าน
 

สาเหตุ

เกิดจากตับของทารกยังทำงานไม่ได้เต็มที่ ไม่สามารถขจัดสารสีเหลือง (บิลิรูบิน) จากกระแสเลือด ออกไปทางลำไส้ได้ทัน จึงมีการคั่งของสารนี้ ทำให้เกิดอาการตาเหลืองตัวเหลือง (ดีซ่าน) ชั่วคราวได้

อาการ

ทารกจะเริ่มมีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง) เมื่อพ้นระยะ 24 ชั่วโมงหลังคลอด ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 2-3 วันหลังคลอด จะเหลืองเข้มที่สุดในราววันที่ 5-7 หลังคลอดแล้วจะค่อย ๆ จางหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยที่ทารกดูแข็งแรงดี ไม่มีไข้ ไม่ซึม ไม่งอแง ไม่ซีด ดูดนมและน้ำได้ดี ถ่ายอุจจาระสีปกติ

อาการเหลืองจะเริ่มจากบริเวณหน้าก่อน แล้วไล่ลงมาที่ลำตัว แขนและขา ตามลำดับ ส่วนเวลาจางจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม


ภาวะแทรกซ้อน

โดยทั่วไปภาวะเช่นนี้มักไม่มีอันตรายต่อทารกแต่อย่างใด ยกเว้นในรายที่มีอาการเหลืองจัด (มีระดับบิลิรูบินในเลือดสูงจัด) อาจทำให้สมองพิการได้ เนื่องจากสารบิลิรูบินเข้าไปสะสมในเนื้อสมอง ทำให้สมองทำหน้าที่ผิดปกติ เรียกว่า ภาวะสารบิลิรูบินสะสมในสมอง (kernicterus) หรือ โรคสมองบิลิรูบิน (bilirubin encephalopathy) ทารกจะมีอาการซึม ไม่ดูดนม อาเจียน หลังแอ่น ตาเหลือก ชัก และอาจเสียชีวิตได้ หรือไม่ก็อาจกลายเป็นเด็กพิการ ปัญญาอ่อน หูหนวก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก มีสิ่งตรวจพบ ได้แก่ ตาเหลือง ตัวเหลือง และปัสสาวะสีเหลืองเหมือนขมิ้น

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์จะทำการตรวจระดับบิลิรูบินในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าพบอาการดีซ่านในทารกแรกเกิด ซึ่งเริ่มมีอาการในวันที่ 2-5 หลังคลอด แพทย์จะตรวจดูทารกอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสาเหตุจากอย่างอื่น และทารกท่าทางแข็งแรงดี ก็จะแนะนำให้ทารกดูดนมและน้ำให้มากขึ้น ให้ทารกผึ่งแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า หรือใช้แสงไฟนีออนส่อง จะช่วยลดอาการเหลืองได้ แล้วทำการติดตามดูอาการของทารกอย่างใกล้ชิด ถ้าหากพบว่าทารกตัวเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์ หรือ ฝ่าเท้าเหลือง (ซึ่งมักมีระดับบิลิรูบินสูงกว่า 20 มก./ดล.) อาจจำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

2. ถ้าพบว่าทารกมีอาการไข้ ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียว ท้องเดิน อุจจาระสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ซึมผิดปกติ ตัวอ่อนปวกเปียก ไม่ดูดนม อาเจียน ชัก หรือเริ่มมีอาการดีซ่านภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดหรือเมื่อมีอายุมากกว่า 3 วัน แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อค้นหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุ

3. ในรายที่เป็นภาวะดีซ่านสรีระ (ไม่มีโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ แต่เหลืองจัด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสมองทารก) แพทย์จะทำการบำบัดด้วยแสง (phototherapy คือการส่องด้วยแสงไฟนีออนของหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หรือแสงสีน้ำเงิน)

หากไม่ได้ผล หรือพบว่ามีระดับบิลิรูบินในเลือดสูงมาก (มากกว่า 20-25 มก./ดล. ในทารกคลอดครบกำหนด ส่วนในทารกคลอดก่อนกำหนดคิดที่ค่าต่ำกว่านี้) แพทย์ก็จะทำการเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าปล่อยไว้จนมีอาการเหลืองจัด และได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจมีความยุ่งยากในการรักษา หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

*ทารกที่ดื่มนมมารดาตั้งแต่แรกเกิดอาจมีอาการดีซ่านได้บ่อย ซึ่งเป็นไปได้ 2 ลักษณะ คือ

1. เกิดจากนมมารดาออกน้อย หรือให้ทารกดูดนมน้อย ทำให้ทารกได้ปริมาณนมน้อยเกินไป เกิดภาวะขาดน้ำ ประกอบกับลำไส้ทารกเคลื่อนตัวช้าเนื่องจากไม่มีนมกระตุ้น ทำให้มีการดูดซึมบิลิรูบินกลับเข้าเลือดมากขึ้น จึงเกิดอาการดีซ่าน ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 7 วันแรกหลังคลอด และมีอาการน้ำหนักลดร่วมด้วย เมื่อให้ดูดนมบ่อยขึ้น (เพิ่มเป็นวันละ 8-12 ครั้ง) มีปริมาณนมออกมากขึ้น อาการก็จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เองเป็นส่วนใหญ่

ลักษณะนี้เรียกว่า ภาวะดีซ่านจากการเลี้ยงนมมารดา (breast-feeding jaundice)

2. เกิดจากนมมารดาในบางรายจะมีสารบางชนิด เช่น กรดไขมันอิสระ บีตากลูคูโรนิเดส (beta glucuronidase) ในปริมาณมากกว่าปกติ ส่งผลให้ทารกเกิดอาการดีซ่าน ซึ่งมักเกิดขึ้นในวันที่ 4-7 หลังคลอด และอาจเป็นอยู่นานกว่า 2 สัปดาห์ (บางรายอาจนานถึง 12 สัปดาห์) ส่วนใหญ่มักไม่มีความรุนแรง

ลักษณะนี้เรียกว่า ภาวะดีซ่านจากนมมารดา (breast milk jaundice) หากพบอาการนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่นก่อน

เมื่อมั่นใจว่าเกิดจากนมมารดา ส่วนใหญ่ก็ยังคงแนะนำให้เลี้ยงทารกด้วยนมมารดาต่อไป และอาจให้นมผสมเสริม หากไม่ทุเลาอาจงดให้นมมารดา 1-2 วัน อาการมักจะทุเลาได้ น้อยรายที่อาจมีอาการเหลืองจัดจนต้องให้การบำบัดด้วยแสง หรือเปลี่ยนถ่ายเลือด


การดูแลตนเอง

1. ถ้าพบอาการดีซ่านในทารกแรกเกิด ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นดีซ่านสรีระในทารกแรกเกิด ควรดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด ควรให้ทารกดูดนมแม่โดยเร็ว(ภายใน 1/2 - 1 ชั่วโมงหลังคลอด) และบ่อยๆ ดื่มน้ำให้มากขึ้น และให้ทารกผึ่งแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า หรือใช้แสงไฟนีออนส่อง

2. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าทารกมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้ อาเจียน ท้องเดิน ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียว ซึมผิดปกติ ตัวอ่อนปวกเปียก หรือชัก
    อุจจาระสีเหลืองอ่อน หรือซีดขาว
    ทารกไม่ดูดนม
    มีอาการตัวเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ หรือ ฝ่าเท้าเหลือง
    เริ่มมีอาการดีซ่านภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดหรือเมื่อมีอายุมากกว่า 3 วัน
    มีความวิตกกังวล


การป้องกัน

หลังคลอดควรให้ทารกดูดนมโดยเร็ว (ภายใน 1/2 - 1 ชั่วโมงหลังคลอด) และบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนตัวและถ่ายอุจจาระ อาจช่วยป้องกันการเกิดภาวะดีซ่าน และลดความรุนแรงลงได้

ข้อแนะนำ

ควรทำการตรวจดูอาการดีซ่านในทารกทุกรายตั้งแต่ระยะหลังคลอดจนพ้นระยะ 1-2 สัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เนื่องจากมักมีสาเหตุร้ายแรง ซึ่งหากได้รับการรักษาแต่เนิ่น  ๆ จะสามารถช่วยให้อยู่รอดปลอดภัย และลดภาวะแทรกซ้อนทางสมองลงได้มาก

11
ไหว้พระพิฆเนศ ที่ไหนดี ? ทำบุญ ขอพร 10 ศาลพระพิฆเนศ ทั่วไทย ความสำเร็จลุล่วงมีแก่ผู้ศรัทธา

องค์พระพิฆเนศ หรือ พระคเณศ เป็นอีกหนึ่่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยนับถือบูชากันมาช้านาน เพราะท่านเป็นดั่งตัวแทนของความดีในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะทั้งปัญญา ความสำเร็จลุล่วง ความเจริญรุ่งเรือง ความแคล้วคลาดจากสิ่งไม่ดี และความเป็นใหญ่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง และด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเปี่ยมด้วยเมตตาจึงทำให้ชาวไทยรู้สึกผูกพัน และเข้าถึงท่านได้ไม่ยาก ใครที่อยากจะสักการะบูชาท่านจึงสามารถหา สถานที่ไหว้พระพิฆเนศ ได้อย่างไม่ยาก ที่สำคัญยังมีหลายแห่งทั่วประเทศไทยด้วย กับ ขอพร 10 ศาลพระพิฆเนศ ทั่วไทย ดังต่อไปนี้ครับ


ไหว้พระพิฆเนศ ที่ไหนดี ?

1. เทวาลัยพระพิฆเนศ สี่แยกรัชดา - ห้วยขวาง

ถ้าให้ผู้ถึงศาลที่มีพระพิฆเนศเป็นองค์ประธานในกรุงเทพฯ แล้วล่ะก็ คงพลาดที่นี่ไปไม่ได้ นอกจากคนไทยอย่างเราแล้ว จะเห็นคนต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนก็นิยมเดินทางมาขอพรที่นี่กันอย่างคับคั่ง โดยแรกเริ่มนั้นจุดประสงค์ของการตั้งศาล ณ ที่ตรงนี้ เพราะแต่ก่อนแยกนี้เป็นจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงตั้งศาลไว้เพื่อเตือนใจผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน หลังจากนั้นผู้คนก็นิยมมากราบไหว้ขอพร และได้รับโชคลาภกันมากมายจนเป็นที่โด่งดังขึ้นมา หรือใครที่มีความขัดข้อง ไม่สบายใจในเรื่องใดๆ ต้องการที่พึ่งทางใจก็มาได้เช่นกัน

    ที่ตั้ง : สี่แยกห้วยขวาง ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
    เปิดให้เข้าชม : 12.00-24.00 น.


2. เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพ

ที่นี่นับเป็นอีกหนึ่งที่ประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเนศที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในประเทศไทย โดยศาลพระพิฆเนศจะอยู่ ณ โบสถ์กลาง ซึ่งเทวสถานแห่งนี้จะมีลำดับการสักการะเทพทั้งหมดในนี้ โดยจะต้องเริ่มต้นการไหว้จากพระพิฆเนศก่อนเสมอ เพราะถือว่าท่านเป็นองค์ประธานของหมู่เทพ

    ที่ตั้ง : 268 ถนนบ้านดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ
    เปิดให้เข้าชม : 09.30-15.30 น.


3. ศาลพระพิฆเนศ อาเขต เชียงใหม่

ศูนย์กลางความศรัทธา ณ ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ที่เปิดให้สักการะบูชาได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพิฆเนศถึง 3 ปางด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีองค์เทพอื่นๆ อีกมากมาย เช่น พระตรีมูรติ พระพรหม พระราหู ฯลฯ มาที่เดียวครบ

    ที่ตั้ง : 207 ซอย 5 ถนนแก้วนวรัฐ ตำบลวัดเกต อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 24 ชั่วโมง


4. เทวสถานองค์พระพิฆเนศ ด่านนอก

เทวสถานองค์พระพิฆเนศ ด่านนอก พระพิฆเนศองค์ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ มีความสูงถึง 30 เมตร สร้างเพื่อให้คนไทย และนักท่องเที่ยวในแถบนี้ได้สักการะบูชา รวมถึงองค์ท้าวมหาพรหมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกันด้วย

    ที่ตั้ง : ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
    เปิดให้เข้าชม : 07.00-23.00 น.


5. เทวาลัยคเณศร์ พระราชวังสนามจันทร์

เทวาลัยแห่งนี้มีความพิเศษมากๆ เพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นองค์ประธานแห่งพระราชวังสนามจันทร์ โดยสามารถเห็นพระปฐมเจดีย์อยู่ด้านหลังด้วย

    ที่ตั้ง : ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-20.00 น.


6. วัดสมานรัตนาราม ฉะเชิงเทรา

ที่วัดสมานนี้มี พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุข ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีความสูงถึง 16 เมตร โดยความหมายของปางนี้ก็คือ เป็นปางที่ประทานความมีกินมีใช้ อยู่อย่างสุขสบาย อิ่มหนำสำราญ เงินทองไม่ขาดมือ ไม่มีเรื่องให้วุ่นวายใจ รื่นรมย์ ไร้ทุกข์ ไร้ความเศร้าหมอง นั่นเอง นอกจากนี้รอบๆ ฐานยังมีพระพิฆเนศปางต่างๆ อีก 32 ปางให้ได้ชมอีกด้วย

    ที่ตั้ง : ริมแม่น้ำบางปะกง หมู่ที่ 11 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


7. เทวาลัยพระพิฆเนศ บางใหญ่ นนทบุรี

เทวสถานที่บางใหญ่ ตั้งอยู่ระหว่างบิ๊กซีกับเซ็นทรัลเวสเกตที่เปิด 24 ชั่วโมง ให้ใครก็ตามที่มีความทุกข์ มีเรื่องไม่สบายใจได้เข้าสักการะเป็นที่ยึดเหนี่ยวได้ตลอดเวลา โดยมี องค์พระพิฆเนศปางมหาเทพไอยรา เป็นองค์ประธานของเทวาลัยแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีองค์เทพอื่นๆ อีกหลายองค์ให้เลือกบูชาตามความปรารถนาด้วย

    ที่ตั้ง : 6/39 ถนนกาญจนาภิเษก ตำบลเสาธงหิน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 24 ชั่วโมง


8. ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดช่องลม 2

องค์พระพิฆเนศปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในแนวเทือกเขาตะนาวศรี สีเขียวมรกต หน้าตักกว้าง 9 เมตร สูง 12 เมตร ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวขจี ใกล้ๆ กันยังมีพระโพธิสัตว์กวนอิมตั้งอยู่ด้วย

    ที่ตั้ง : ถนนราชบุรี-ผาปก ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


9. พระพิฆเนศ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรี

     องค์พระคเณศที่ประดิษฐานอยู่ที่มหาวิทยาศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี เป็นเทวรูปพระคเณศหล่อโลหะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นสิริมงคลแก่นักศึกษา และบุคลากร (พระพิฆเนศเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร) บุคคลทั่วไปก็สามารถเข้าไปสักการะได้เช่นกัน

    ที่ตั้ง : มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


10. อุทยานพระพิฆเนศ นครนายก

พระพิฆเนศปูนปั้นที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ปางนั่งประทานพร หรือเรียกว่า ปางคณบดี และปางไสยาสประทานพรนั่นเอง หน้าตักกว้าง 9 เมตร สูง 15 เมตร ที่นี่เรียกว่าอุทยานพระพิฆเนศ เพราะเป็นที่รวบรวมองค์พระพิฆเนศจำนวนถึง 108 ปาง ที่ครบสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย แต่ละปางก็มีความหมายของการบูชาแตกต่างกันไป

    ที่ตั้ง : สี่แยกประชาเกษม หมู่ 11 ถนนนครนายก-น้ำตกสาริกา ตำบลสาริกา อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก
    เปิดให้เข้าชม : วันจันทร์-ศุกร์ 09.00-17.30 น. วันเสาร์-อาทิตย์ 08.30-18.00 น.

12
doctor at home: ชักจากไข้ (Febrile seizure/Febrile convulsion)

ชักจากไข้ หมายถึง อาการชักที่เกิดขึ้นขณะมีไข้ เนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยไม่รวมถึงการติดเชื้อของสมองและเยื่อหุ้มสมอง

พบเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการชักที่มีไข้ร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี พบได้ประมาณร้อยละ 3-5 ของเด็กในวัยนี้

เด็กที่มีอาการชักจากไข้มักมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องคนใดคนหนึ่งเคยชักจากไข้ด้วย

ชักจากไข้แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชักจากไข้ชนิดสามัญ (simple febrile seizure) และชักจากไข้ชนิดซับซ้อน (complex febrile seizure)

เด็กส่วนใหญ่จะมีอาการชักจากไข้ชนิดสามัญ และชักเพียงครั้งเดียว ประมาณร้อยละ 30-40 ที่อาจชักซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง และประมาณร้อยละ 10 ที่อาจชักซ้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป


สาเหตุ

อาการชักจากไข้ พบมากในเด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 5 ปี (พบมากที่สุดในช่วง 3 ปีแรก) เนื่องจากสมองของเด็กกำลังเจริญเติบโต จึงมีความไวต่อการกระตุ้นจากไข้ ซึ่งโดยมากขนาดของไข้ที่จะทำให้ชักได้มักจะสูงเกิน 39 องศาเซลเซียสขึ้นไป

ส่วนใหญ่มักมีไข้จากโรคติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด หัด ไข้ผื่นกุหลาบในทารก ท้องเดินจากไวรัส เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากบิดชิเกลลา ทอนซิลอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน ปอดอักเสบ

อาการ

เด็กจะมีไข้ ร่วมกับอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น เป็นหวัด เจ็บคอ ไอ ท้องเดิน เป็นบิด เป็นต้น แล้วต่อมามีอาการชัก (ส่วนใหญ่จะชักแบบกระตุกทั้งตัว) ตาค้าง กัดฟัน กัดลิ้น นานประมาณ 2-3 นาที (มักไม่เกิน 5-15 นาที) ส่วนใหญ่จะมีอาการชักเพียง 1 ครั้ง หลังจากนั้นจะไม่ชักซ้ำอีก ส่วนน้อยอาจมีอาการชักกำเริบอีกเมื่อมีไข้ในครั้งต่อไป

หลังจากหยุดชัก เด็กจะรู้สึกตัวดีเป็นปกติ ไม่ซึม พูดคุยได้ปกติ และแขนขาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ

ในรายที่มีอาการชักจากไข้ชนิดซับซ้อน (ซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อย) จะชักนานเกิน 15 นาที หรือชักเกิน 1 ครั้งใน 24 ชั่วโมง หรือมีอาการชักเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือมีความผิดปกติของสมองร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่เป็นอาการชักจากไข้ชนิดสามัญ ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่ไม่รุนแรงและมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง รวมทั้งไม่มีผลกระทบต่อสมอง เชาวน์ปัญญา และพัฒนาการของเด็ก แม้ว่าอาจชักซ้ำมากกว่า 1 ครั้งก็ตาม

โดยเฉลี่ยเด็กที่มีอาการชักจากไข้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคลมชักเมื่อโตขึ้น ประมาณร้อยละ 1-2 ซึ่งสูงกว่าเด็กทั่วไปเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการชักจากไข้ชนิดซับซ้อน มีประวัติโรคลมชักในครอบครัว มีอาการผิดปกติทางสมอง (เช่น สมองพิการ ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ) มีพัฒนาการช้า หรือเกิดอาการชักภายในเวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมงหลังมีไข้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

ขณะที่มาพบแพทย์ เด็กมักจะหายชักแล้ว แต่บางรายอาจมีอาการชักซ้ำให้เห็น


ส่วนมากมักจะมีไข้สูงและพบอาการของโรคที่พบร่วม

กรณีที่จำเป็น อาจต้องตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ และอื่น ๆ เพื่อวินิจฉัยโรคที่พบร่วม

หากสงสัยมีการติดเชื้อในสมอง ก็จะทำการเจาะหลังนำน้ำไขสันหลังไปตรวจ


การรักษาโดยแพทย์

1. ถ้าพบเด็กขณะมีอาการชัก ให้ถอดเสื้อผ้าเด็กออกแล้วใช้ผ้าชุบน้ำก๊อกโปะทั้งตัว เปลี่ยนผ้าชุบน้ำใหม่ทุก 2 นาที ถ้าชักนานเกิน 5 นาที แพทย์จะให้ไดอะซีแพมฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือเหน็บทางทวารหนัก


ถ้าไม่หยุดชัก หรือมีอาการซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรืออาเจียนมาก แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ในรายที่สงสัยเป็นโรคติดเชื้อทางสมอง อาจต้องทำการเจาะหลัง และตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม

2. ในกรณีที่เด็กหยุดชักแล้ว จะค้นหาสาเหตุของอาการไข้ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

สำหรับอาการชักจากไข้ครั้งแรก แพทย์จะพิจารณาทำการเจาะหลัง (เพื่อนำน้ำไขสันหลังไปตรวจ) ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 เดือน หรือได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมาก่อน (เนื่องเพราะเด็กกลุ่มนี้อาจเป็นโรคติดเชื้อทางสมองที่แสดงอาการไม่ชัดเจนก็ได้)


การดูแลตนเอง

หากเด็กมีอาการไข้ร่วมกับชัก ควรทำการปฐมพยาบาล และพาเด็กไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว แม้ว่าเด็กจะหยุดชักแล้ว เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

ควรพาเด็กไปพบแพทย์ทันที ถ้าเด็กมีอาการชักนานเกิน 5 นาที ชักซ้ำภายใน 24 ชั่วโมง หรือมีอาการซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรืออาเจียนมาก หรือพบอาการชักในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนหรือมากกว่า 5 ปี

เมื่อตรวจพบว่าเป็นอาการชักจากไข้ (โดยไม่มีความผิดปกติของสมอง) ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรือชักซ้ำ
    อาเจียน กินอาหารไม่ได้ และดื่มน้ำได้น้อย
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา


การปฐมพยาบาลเด็กที่มีอาการชักจากไข้

เมื่อพบเด็กมีอาการชักจากไข้ พ่อแม่ควรตั้งสติให้ดี อย่าตกใจจนเกินเหตุ และควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

    จับเด็กนอนหงาย โดยตะแคงศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือจับเด็กนอนตะแคง พร้อมกับเชยคางขึ้นเล็กน้อย ควรให้นอนบนพื้นที่โล่งและปลอดภัย ระวังอย่าให้พลัดตกหรือกระทบกระแทกถูกสิ่งกีดขวาง
    ถ้ามีน้ำลาย เสมหะ หรือเศษอาหารในบริเวณปากหรือใบหน้า ควรเช็ดหรือดูดออก เพื่อไม่ให้เด็กสำลัก
    ถอดหรือปลดเสื้อผ้าให้หลวม แล้วรีบใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวเพื่อลดไข้
    เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด สังเกตลักษณะการชักและจับระยะเวลาของการชัก เพื่อแจ้งให้แพทย์หรือผู้ที่ให้การรักษาทราบในภายหลัง
    ถ้ามียาเหน็บแก้ชักที่แพทย์สั่งให้สำรองไว้ใช้ ให้รีบทำการเหน็บทวารเด็กตามคำแนะนำของแพทย์
    อย่าผูกหรือมัดตัวเด็ก หรือใช้แรงฝืนหรือจำกัดการเคลื่อนไหวของเด็ก
    อย่าใช้วัตถุ (เช่น ไม้ ด้ามช้อน ปากกา ดินสอ) สอดใส่ปากเด็ก อาจทำให้ปากและฟันได้รับบาดเจ็บได้
    อย่าป้อนอาหาร ยา หรือน้ำให้เด็กระหว่างชัก หรือหลังชักใหม่ ๆ อาจทำให้เด็กสำลักได้
    ถ้ามีไข้สูง ใช้ผ้าชุบน้ำจากก๊อกประปาหรือน้ำอุ่นเช็ดตัวเพื่อลดไข้
    ควรนำเด็กส่งสถานพยาบาลใกล้บ้านทันที ถ้าเด็กมีอาการชักนานเกิน 5 นาที หรือเป็นการชักครั้งแรก (แม้ว่าจะชักเพียงช่วงสั้น ๆ ก็ตาม) หรือมีอาการอาเจียน ซึม หรือหายใจลำบาก


การป้องกัน

เด็กที่เคยมีอาการชักจากไข้มาครั้งหนึ่งแล้ว บางรายอาจมีอาการชักซ้ำได้อีกเมื่อมีไข้ขึ้น การป้องกันไม่ให้ชักจากไข้ซ้ำ สามารถกระทำได้ดังนี้

    ทุกครั้งที่เด็กเริ่มมีไข้ ควรให้ยาลดไข้-พาราเซตามอลทันที ควรเช็ดตัวเด็กด้วยน้ำบ่อย ๆ ไม่ควรให้เด็กใส่เสื้อผ้าหนา ๆ หรือห่มผ้าหนา เพราะจะทำให้ตัวร้อนยิ่งขึ้น

    กินยากันชักตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งในปัจจุบันแพทย์จะพิจารณาให้ยากันชัก เช่น ฟีโนบาร์บิทาล โซเดียมวาลโพรเอต (sodium valproate) เป็นต้น เฉพาะสำหรับเด็กบางรายที่มีข้อบ่งชี้ เช่น มีความผิดปกติของสมองหรือโรคลมชักร่วมด้วย โดยจะให้กินอย่างต่อเนื่องทุกวันนานเป็นแรมปี บางรายอาจให้ทานหลายปี

ส่วนอาการชักจากไข้ที่ไม่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการชักจากไข้ชนิดสามัญ แพทย์จะหลีกเลี่ยงการใช้ยากันชักโดยไม่จำเป็น เนื่องเพราะยากันชักทุกชนิดมีผลข้างเคียงซึ่งอาจมีโทษต่อเด็กมากกว่าอันตรายจากตัวโรคเอง


ข้อแนะนำ

1. อาการชักจากไข้ที่ไม่มีสาเหตุจากโรคติดเชื้อของสมอง มักพบในเด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 5 ปี ถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน หรือมากกว่า 5 ปี หรือผู้ใหญ่ จำเป็นต้องทำการตรวจหาความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง

อาการชักจากไข้แม้ดูน่ากลัว แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีอันตรายแต่อย่างใด มักจะชักเพียงช่วงสั้น ๆ (ไม่กี่นาที) และชักเพียงครั้งเดียวในชีวิต บางรายอาจชักซ้ำ 1-2 ครั้ง และเมื่อพ้นอายุ 5 ปีก็มักไม่มีอาการชักจากไข้

2. เด็กส่วนน้อยอาจชักซ้ำเมื่อมีอาการไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    ชักครั้งแรกเมื่ออายุน้อยกว่า 18 เดือน
    ระยะมีไข้นำมาก่อนชัก ถ้ายิ่งสั้นมีความเสี่ยงต่อการชักซ้ำยิ่งสูง
    มีประวัติโรคลมชัก หรืออาการชักจากไข้ในครอบครัว
    มีอาการชักขณะไข้ไม่สูงมาก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการชักซ้ำสูงกว่าเด็กที่ชักขณะมีไข้สูง

13
จัดฟันบางนา: การเตรียมตัวเมื่อเด็กฟันเริ่มงอก ป้องกันการเกิดปัญหาการผิดปกติในฟันของลูกน้อย

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กถือว่า เป็นสุขอนามัยในเบื้องต้นที่เด็กจะต้องเรียนรู้ถึงวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้เข้าใจและใส่ใจที่จะดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันได้ด้วยตัวเอง สอนให้เขาเรียนรู้และทราบถึงปัญหาฟันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

แน่นอนว่า ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก และไม่แนะนำวิธีการดูแลรักษาฟันอย่างถูกวิธีให้ลูกน้อย ก็จะทำให้เด็กไม่เห้นถึงความสำคัญของสุขภาพฟันและอาจจะทำความสะอาดฟันได้ไม่ถูกวิธีด้วย หมายความว่า พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะสอนเด็กให้รู้จักวิธีการแปนงฟันอย่างถูกต้อง ปลูกฝังเด็กตั้งแต่อายุยังน้อยหรือตั้งแต่เด็กเริ่มมีฟันน้ำนมงอกออกมา อย่ามองว่า ฟันน้ำนมของเด็กไม่มีความสำคัญ เพราะนั่นถือว่าเป้นความคิดที่ผิดที่จะส่งผลให้เด็กมีปัญหาการขึ้นของฟันแท้ในอนาคตได้  ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงการเตรียมตัวเมื่อเด็กเริ่มมีฟันงอก เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาความผิดปกติของฟันในเด็ก ซึ่งถ้าหากมีปัญหาฟันตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม แน่นอนฟันแท้จะต้องมีปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนอื่นทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กก่อน เพื่อให้ผู้ปกครองหลายๆท่านที่อาจจะยังไม่เข้าใจกระบวนการของการจัดฟันในเด็ก ต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันในเด็ก สามารถทำได้เมื่อมีฟันแท้ขึ้นบางส่วนในช่องปาก หรือที่เรียกว่า ฟันผสม และการจัดฟันในเด็กก็ต้องใช้รักษาฟันของเด็กที่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการจัดฟัน เพื่อแก้ไขความผิดปกติของการสบฟัน หรือตำแหน่งขากรรไกรที่ผิดปกติ ซึ่งการจัดฟันในเด็กจะต้องได้รับความร่วมมือจากเด็กและผู้ปกครองเป็นสำคัญ อีกทั้งยังต้องมีการดูแลช่องปากเป็นอย่างดีด้วย

สำหรับการเตรียมตัวเมื่อเด็กเริ่มมีฟันงอก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาฟันในอนาคตได้นั้น เริ่มจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะสอนหรือแนะนำให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปาก เพื่อขจัดคราบเศษอาหารหรือคราบสกปรกต่างๆที่เป็นสาเหตุของการเกิดคราบหินปูน เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุ และควรบอกให้เด็กเข้าใจถึงปัญหาฟัน เมื่อเด็กมีปัญหาฟันจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันมีความยากขึ้น ถ้าหากในวัยเด็ก ก็อาจจะทำให้เกิดการโดนเพื่อนล้อ หรืออาจจะทำให้เสียความมั่นใจ กลาบเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก หรือแม้กระทั่งส่งผลให้เกิดปัญหาการบดเคี้ยวอาหาร ทำให้ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเด็กได้ ดังน้ัน นี่คือการเตรียมตัวในเบื้องต้นที่จะสามารถช่วยให้เด็ก มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้ โดยเริ่มจากพ่อแม่ควรสอดส่องดูแล หมั่นสังเกตพฤติกรรมในวัยเด็กของลูก เพราะพฤติกรรมในวัยเด็ก ล้วนส่งผลต่อสุขภพช่องปากและฟันได้ทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าเป้นสุขอนามัยในเบื้องต้นที่เด็กจะต้องเอาใจใส่และเติบโตมาเพื่อเป้นผู้ใหญ่ที่มีฟันที่แข็งแรง สวยงามและสุขภาพดี

ทั้งหมดนี้ก็คือ การเตรียมตัวเมื่อเด็กเริ่มมีฟันงอกออกมา สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากจะหยิบคำแนะนำดังกล่าวของทางคลินิกของเรา เพื่อไปเป็นแนวทางการสร้างความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ก็สามารถนำไปปรับใช้กับเด็กได้

ถ้าหากหากให้เด็กหรือบุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกของเรา เพราะทางเรามีทันตแพย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทันตกรรมในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำได้อย่างตรงจุด หรือเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกันฟัน และอยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำและเข้ารับการตรวจประเมินในเบื้องต้นได้ เพราะเราก็มีทีมทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการจัดฟันในเด้กมาอย่างยาวนาน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงกับปัญหาของเด็ได้อย่างแน่นอน เพราะเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับบริการทุกคน เพื่อที่จะได้ทีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ

14
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: หูชั้นนอกอักเสบ (Otitis externa)

หูชั้นนอกอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย แต่จะพบมากในวัยหนุ่มสาว

อาจพบเป็นรุนแรงในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวานหรือโรคเอดส์

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น สแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcus aureus) สูโดโมแนส (Pseudomonas aeruginosa ) อาจเป็นฝีเฉพาะที่ หรือมีการอักเสบทั่วไปของผิวหนังที่อยู่ในรูหู

มักจะพบหลังเล่นน้ำ มีน้ำค้างอยู่ในช่องหู หรือเกิดแผลถลอกจากการแคะหู (เนื่องจากคันในรูหู หรือแคะขี้หู) หรือการใส่อุปกรณ์ (เช่น หูฟัง เครื่องช่วยฟัง) ในช่องหู

นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการคันหูจากการระคายเคืองหรือการแพ้ที่บริเวณหูจากสารบางอย่าง (เช่น ยาย้อมผม สเปรย์ผม เครื่องประดับ) มักจะมีการแคะหู ทำให้เกิดการอักเสบตามมาได้

อาการ

มีอาการปวดและคันในรูหู อาจมีน้ำเหลืองหรือหนองไหล

หากการอักเสบรุนแรงมากขึ้น มักมีอาการปวดหูมาก หูอื้อ มีไข้ และหูชั้นนอกมีอาการบวมแดงมากขึ้น

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่เมื่อได้รับการรักษามักจะหายเป็นปกติ ส่วนน้อยอาจกลายเป็นหูชั้นนอกอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดจากเชื้อโรคที่ดื้อยา มีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมกับเชื้อรา มีการแพ้ยาหยอดหู หรือมีโรคภูมิแพ้เรื้อรังของผิวหนัง

การอักเสบอาจลุกลาม ทำให้เยื่อแก้วหูทะลุ

ในรายที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน เอดส์) อาจมีการติดเชื้อรุนแรง เรียกว่า "หูชั้นนอกอักเสบชนิดร้าย (malignant otitis externa)" เชื้ออาจลุกลามเข้ากระดูกของช่องหูชั้นนอก กลายเป็นโรคกระดูกอักเสบ (osteomyelitis) และอาจลุกลามเข้าสมอง (ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ) หรือเส้นประสาทข้างเคียง (ทำให้เกิดอาการอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ลักษณะอาการที่สำคัญ คือ เวลาดึงใบหูแรง ๆ จะทำให้เจ็บในรูหูมากขึ้น (ผู้ป่วยที่เป็นหูชั้นกลางอักเสบจะตรวจไม่พบอาการเช่นนี้)

เมื่อใช้เครื่องส่องหู (otoscope) จะเห็นลักษณะการอักเสบหรือฝีอยู่ในช่องหู ส่วนเยื่อแก้วหูมักจะเป็นปกติและไม่มีรูทะลุ (ยกเว้นในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจพบแก้วหูทะลุ)

บางรายอาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโตที่หน้าหู หลังหู หรือบริเวณคอ

บางกรณี แพทย์จะนำหนองในหูไปตรวจหาเชื้อต้นเหตุ

การรักษาโดยแพทย์

ในรายที่มีอาการเล็กน้อย แพทย์จะให้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหยอดหูวันละ 3-4 ครั้ง ถ้ามีหนองไหล ก่อนหยอดยาแพทย์จะใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดช่องหู เพื่อให้ยาหยอดหูออกฤทธิ์ได้

ในรายที่ใช้ยาหยอดหูเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบมาก (เช่น ปวดหูมาก หรือมีไข้) แพทย์จะให้กินยาแก้ปวดลดไข้และยาปฏิชีวนะ (เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน, อีริโทรไมซิน) ถ้าดีขึ้นให้ยาปฏิชีวนะสัก 5-7 วัน

ถ้าไม่ดีขึ้นหรือเป็นบ่อย หรือพบว่าเป็นรุนแรงในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือโรคเอดส์ แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ (เช่น ตรวจเลือด นำหนองในหูไปตรวจหาเชื้อต้นเหตุ) และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดหู มีน้ำเหลืองหรือหนองไหลออกจากหู ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นหูชั้นนอกอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดการลงเล่นน้ำ ดำน้ำ หรือว่ายน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
    งดการเดินทางโดยเครื่องบิน
    หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ใด ๆ สวมใส่หู
    เวลาอาบน้ำ ใช้สำลีหรือวัสดุอุดรูหูป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษา 2-3 วันแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีไข้สูง หรือปวดหูมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการแคะหูด้วยนิ้วมือ ไม้แคะหู ไม้พันสำลี หรือสิ่งอื่น ๆ
    หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด
    เวลาใช้สเปรย์ผมหรือยาย้อมผม ควรใช้สำลีอุดหู เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้
    หลังอาบน้ำ สระผม หรือว่ายน้ำ ควรใช้ผ้าเช็ดบริเวณรอบ ๆ ใบหูให้แห้ง และตะแคงหูลงทีละข้างลงด้านล่าง แล้วเคาะที่ศีรษะเบา ๆ เพื่อให้น้ำระบายออกจากหู ป้องกันไม่ให้มีน้ำค้างอยู่ในช่องหู (ไม่ให้ใช้ไม้พันสำลีแยงหูเพื่อซับน้ำ อาจทำให้เกิดแผลถลอกได้)
    ผู้ที่มีหูอักเสบ หรือหลังได้รับการผ่าตัดหู ก่อนจะลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในสระ ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาว่าสมควรหรือไม่

ข้อแนะนำ

โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ส่วนมากสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 5-7 วัน แต่ถ้ามีอาการกำเริบใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือพบว่าหูชั้นนอกมีการอักเสบรุนแรง (ปวดหูมาก หนองไหล มีกลิ่นเหม็น หูตึง อาจมีอาการปากเบี้ยว) แพทย์จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือดว่าเป็นเบาหวาน หรือโรคเอดส์หรือไม่

15
สร้างอาชีพ จากการขายคอหมูย่างสูตรโบราณ กลิ่นหอม อบอวล เคี้ยวนุ่ม ความอร่อยเหนือกาลเวลา

อาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่เข้มข้น กลิ่นหอมของเครื่องเทศและรสชาติที่สมดุล ในบรรดาเมนูยอดนิยมมากมายคอหมูย่างถือเป็นเมนูโปรดคลาสสิก อาหารไทยดั้งเดิมจานนี้ได้รับความนิยมมาหลายชั่วอายุคน โดยเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเนื้อนุ่มฉ่ำ กลิ่นหอมควันและน้ำจิ้มรสเด็ด สูตรคอหมูย่างโบราณพร้อมเคล็ดลับความอร่อย:

คอหมูย่างคืออะไร?
คอหมูย่างเป็นคอหมูย่างแบบไทยๆ ที่หมักและย่างไฟอ่อนๆ บนเตาถ่านเพื่อให้ได้ความกรอบและความนุ่มที่ลงตัว แตกต่างจากหมูย่างทั่วไป ตรงที่ใช้คอหมูย่างเพราะมีอัตราส่วนไขมันต่อเนื้อที่เหมาะสมซึ่งทำให้คอหมูชุ่มฉ่ำและมีรสชาติอร่อย

ความลับเบื้องหลังสูตรดั้งเดิม
หมูย่างสูตร ดั้งเดิมของคอหมูย่างหมักด้วยสูตรหมักที่สืบทอดกันมายาวนาน ช่วยเพิ่มรสชาติตามธรรมชาติของเนื้อหมูพร้อมทั้งให้กลิ่นหอมอร่อย ส่วนผสมหลักในการหมัก ได้แก่:
กระเทียม – เพิ่มกลิ่นหอมและรสเผ็ด
รากผักชี – ให้รสชาติดินและกลิ่นส้มเล็กน้อย
พริกไทยดำ – เพิ่มความเผ็ดร้อน
น้ำปลา – ช่วยให้มีรสอูมามิที่เข้มข้น
ซอสหอยนางรม – เพิ่มความหวานและความเข้มข้นเล็กน้อย
น้ำตาลปาล์ม – ช่วยให้พื้นผิวเป็นคาราเมลขณะย่าง
ซีอิ๊วขาว – ปรับสมดุลความเค็มและเพิ่มสีสัน
หมักหมูไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง (หรือหมักข้ามคืนเพื่อรสชาติที่เข้มข้น) ก่อนจะนำไปย่างบนถ่าน เพื่อให้ไขมันละลายช้าๆ ทำให้ชั้นนอกกรอบในขณะที่ด้านในยังคงความชุ่มฉ่ำ

เคล็ดลับความอร่อย:
การหมักหมูข้ามคืนจะทำให้รสชาติเข้มข้นยิ่งขึ้น
การย่างบนเตาถ่านจะทำให้คอหมูย่างมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ
ระหว่างย่างให้ทาเครื่องหมักที่เหลืออยู่บนเนื้อหมูเป็นระยะ เพื่อเพิ่มความชุ่มฉ่ำและรสชาติ
เสริฟพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ และน้ำจิ้มแจ่ว จะเพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้น

วิธีรับประทานคอหมูย่าง
เกาเหลาหมูย่างเสิร์ฟคู่กับ น้ำจิ้ม แจ่วซึ่งเป็นน้ำจิ้มรสเผ็ดเปรี้ยวที่ทำจาก:
น้ำปลา
น้ำมะนาว
ผงข้าวคั่ว
พริกป่น
น้ำตาลมะพร้าว
ผักชีและต้นหอมซอย
เนื้อหมูรมควันที่นุ่มลิ้นผสมผสานกับน้ำจิ้มรสเผ็ด เปรี้ยว และอูมามิ สร้างสรรค์รสชาติที่ระเบิดความอร่อยที่มิอาจลืมเลือน

การจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ
หากต้องการสัมผัสรสชาติแบบไทยแท้ ให้ทานเกาเหลาหมูย่าง คู่ กับ:
✔ ข้าวเหนียว (ข้าวเหนียว) – เพิ่มความนุ่มและเคี้ยวหนึบให้กับจานอาหาร
✔ ผักสด – เช่น แตงกวา กะหล่ำปลี และโหระพา เพื่อความสมดุลกับรสชาติ
✔ ส้มตำ – เพิ่มความกรุบกรอบสดชื่นและรสเผ็ดร้อน

ทำไมคุณถึงควรลองอาหารไทยคลาสสิกนี้
คอหมูย่างไม่ได้เป็นแค่เพียงอาหารย่างเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของอาหารไทยแบบดั้งเดิมอีกด้วย รสชาติที่สมดุลอย่างพิถีพิถัน วิธีการย่างไฟอ่อน และน้ำจิ้มสูตรโฮมเมด ทำให้กอหมูย่างเป็นเมนูที่ต้องลองชิมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารไทย

ไม่ว่าคุณจะทำเองที่บ้านหรือจะลองชิมที่แผงขายอาหารริมทางในประเทศไทย คอหมูย่างรับรองว่าจะมอบประสบการณ์ความหอมควัน ชุ่มฉ่ำและรสชาติกลมกล่อมทุกครั้ง

หน้า: [1] 2 3 ... 67