แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 41
1
พฤติกรรมที่ทำให้เด็กเกิดฟันผุ จนอาจต้องเข้ารับการจัดฟันเด็ก

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เป็นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรเอาใจใส่ตั้งแต่ลูกยังเป็นทารก เพราะการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันจะทำให้เด็กมีสุขภาพฟันที่ดี มีฟันที่แข็งแรงไม่เกิดฟันผุ เพราะขณะที่เด็กมีฟันน้ำนม ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดฟันผุได้ง่ายและเด็กในวัยนี้ยังมีพฤติกรรมที่ชอบรับประทานอาหารจุกจิกหรือรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน ลูกอม รวมไปถึงน้ำอัดลม ซึ่งอาหารเหล่านี้ถือว่าเป็นศัตรูกับฟันของเราเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ดูแลในเรื่องของโภชนาการของเด็ก ก็อาจจะทำให้เด็กเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันตามมาได้ และเด็กที่อยู่ในช่วงของฟันน้ำนมนั้น พ่อแม่อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะฟันน้ำนมของเด็ก ถ้าหากว่าหลุดก่อนเวลาอันควรอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อการขึ้นของฟันแท้ในอนาคตได้ อาจจะทำให้เด็กมีฟันแท้หายนั่นก็คือ ฟันไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อดึงฟันที่หายให้ออกมา ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก ทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดและติดตั้งเครื่องมือจัดฟันเพื่อให้ฟันที่ฝังอยู่เคลื่อนตัวออกมา ซึ่งก็ใช้ระยะเวลานานพอสมควร

ดังนั้น ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองไม่อยากให้เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยปีละสองครั้ง เพื่อทำการตรวจช่องปากและฟันว่ามีปัญหาด้านใดบ้าง เพื่อที่จะได้รีบแก้ไขได้ทันเวลา แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตพฤติกรรมของเด็กที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับช่องปากและฟันด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมา และในวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เด็กเกิดฝันผุ ซึ่งถือว่าในส่วนนี้พ่อแม่ผู้ปกครองจะมีบทบาทสำคัญในการดูแลมากกว่าทันตแพทย์ ควรที่จะสังเกตอาการเพื่อไม่ให้เด็กเกิดฟันผุจนถึงขั้นสูญเสียฟันและอาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันในเด็ก

ก่อนอื่นเราจะต้องบอกกก่อนว่า การเกิดฟันผุในเด็กนั้น ถือว่ามีผลกระทบของโรคฟันผุในเด็กมีผลต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพช่องปากในอนาคตได้ การมีฟันน้ำนมผุ เด็กจะปวดฟัน เคี้ยวอาหารไม่ได้ ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ส่งผลต่อการเจริญเติบโต อีกทั้งอาการปวดฟันยังส่งผลต่อการนอนหลับและการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้ล้วนกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเด็กตัวเล็กๆ สามารถขัดขวางพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์และสติปัญญาได้นั่นเอง สำหรับพฤติกรรมหรือปัจจัยที่ทำให้เด็กเกิดฟันผุ อย่างแรกเลยยคือ อาหารที่เด็กรับประทานเข้าไป ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาลอยู่แทบทุกอย่าง ตั้งแต่นม ขนมอบกรอบ ขนมหวาน น้ำอัดลม ซึ่งแป้งและน้ำตาลเหล่านี้จะเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรียที่พร้อมจะทำปฏิกิริยากับน้ำตาลเหล่านี้ให้เป็นกรดที่พร้อมจะทำลายผิวฟันไปทีละนิดจนลุกลามไปเรื่อยๆ   

 หากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร และเด็กก็ไม่ได้รับการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันได้ดีเท่าที่ควร รวมไปถึงพฤติกรรมในวัยเด็ก เช่น การที่เด็กนอนหลับคาขวดนม ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในนม สามารถเข้าไปทำลายเคลือบฟันของเด็กได้ เพราะคราบจุลินทรีย์จะย่อยน้ำตาลในนมที่ค้างอยู่บนผิวฟัน ทำให้เกิดการสะสมของกรด ละลายผิวฟันเป็นรู

นอกจากนี้ การรับประทานขนมตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันนั่นเอง ถือเป้นต้นเหตุของการเกิดฟันผุเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะทำก็คือ ควรฝึกให้เด็กทารกเข้านอนโดยไม่มีนิสัยติดขวดนม ดูแลเรื่องของการรับประทานอาหาร งดขนม อาหารรสหวาน ควรเลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ ให้เด็กบ้วนปากหลังดื่มนม รับประทานขนม หรือหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง ที่สำคัญควรให้เด็กแปรงฟันให้ลูกด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง และพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ตรวจฟันเป็นประจำ เพื่อจะได้รับความรู้และแนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพในช่องปากอย่างถูกต้อง

 หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟัน หรือเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแทพย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก รวมไปถึงมีประสบการณ์ยาวนานด้านการจัดฟัน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดฟันผุตั้งแต่อายุยังน้อย ลดปัญหาการเกิดความผิดปกติของช่องปากและฟัน เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง (Normal pressure hydrocephalus/NPH)

ภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง (ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำชนิดความดันปกติ ก็เรียก) เป็นโรคทางสมองชนิดหนึ่ง ที่ทำให้มีอาการผิดปกติเกี่ยวการเดินเป็นหลัก และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย


ภาวะน้ำเกินในโพรงสมองแบ่งเป็นชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ กับชนิดทุติยภูมิ (มีสาเหตุ)

ภาวะน้ำเกินในโพรงสมองชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic normal pressure hydrocephalus/iNPH) มักพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป* พบในผู้ชายและผู้หญิงพอ ๆ กัน ผู้ป่วยจะเริ่มปรากฏอาการเมื่ออายุ 70 ปีโดยเฉลี่ย สำหรับกลุ่มอายุน้อยกว่า 65 ปี จะพบได้น้อย* และโรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 6 ของผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด


ภาวะน้ำเกินในโพรงสมองชนิดทุติยภูมิ (secondary normal pressure hydrocephalus) ซึ่งมีสาเหตุจากภาวะผิดปกติทางสมองอื่น ๆ พบได้ในคนทุกวัย


ภาวะน้ำเกินในโพรงสมองสามารถรักษาด้วยการผ่าตัดฝังสายระบายน้ำ จัดว่าเป็นโรคทางสมองในผู้สูงอายุชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาให้หายได้

*มีรายงานว่าผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเป็นโรคนี้ ร้อยละ 0.2-2.9 และมีรายงานว่าคนสวีเดนที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป พบโรคนี้ถึงร้อยละ 5.9 สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปีพบโรคนี้เพียงร้อยละ 0.003

สาเหตุ

โพรงสมอง (ventricle) หมายถึงโพรงที่อยู่ภายในสมอง ภายในโพรงสมองจะมีน้ำไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) บรรจุอยู่ น้ำไขสันหลังทำหน้าที่หล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (นำสารภูมิต้านทาน และสารสื่อประสาทไปให้ และนำของเสียไปขับออก) และช่วยดูดซับแรงกระเทือนจากภายนอกเพื่อปกป้องสมองและไขสันหลัง ปกติสมองสร้างน้ำไขสันหลัง ซึ่งจะไหลเวียนในโพรงสมองและไขสันหลัง และถูกดูดกลับเข้ากระแสเลือดในลักษณะที่สมดุลกัน ทำให้น้ำในโพรงสมองมีไม่มากหรือน้อยเกินไป  แต่หากมีสภาวะที่ทำการไหลเวียนหรือการดูดกลับของน้ำไขสันหลังผิดปกติ ก็จะทำให้น้ำในโพรงสมองเกิดการคั่งมากกว่าปกติ โดยที่ความดันในกะโหลกศีรษะยังเป็นปกติ จึงเรียกว่า “ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำชนิดความดันปกติ” แต่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า “ภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง”

น้ำที่คั่งในโพรงสมอง จะดันให้โพรงสมองมีขนาดใหญ่ขึ้น และเกิดแรงกดเบียดเนื้อสมองโดยรอบ ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ซึ่งหากแก้ไขได้เร็ว อาการก็ทุเลาหายไปได้ แต่หากปล่อยให้เนื้อสมองถูกกดเบียดเป็นระยะเวลานาน เซลล์สมองก็จะถูกทำลายอย่างถาวร

ภาวะน้ำเกินในโพรงสมองในผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่เป็นภาวะน้ำเกินในโพรงสมองชนิดไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งจะตรวจไม่พบว่ามีภาวะหรือโรคอื่นใดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นมา สันนิษฐานว่าเกิดจากการเสื่อมของร่างกายตามวัย


ส่วนภาวะน้ำเกินในโพรงสมองชนิดทุติยภูมิ ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง สมองอักเสบ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมีประวัติศีรษะได้รับบาดเจ็บหรือเคยได้รับการผ่าตัดสมองมาก่อน

อาการ

ผู้ป่วยมีอาการเดินผิดปกติเป็นหลัก อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ สมองเสื่อม พูดน้อย เสียงแหบ หรือสำลักบ่อยร่วมด้วย โดยอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ เป็นมากเรื่อย ๆ ในช่วงเวลา 6-12 เดือน หรือเป็นแรมปี


เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีการเดินที่ผิดปกติ เช่น เดินช้า เดินซอยเท้า ก้าวขาสั้น ๆ ระยะต่อมาจะมีอาการเดินยกเท้าไม่พ้นจากพื้นเหมือนเท้ามีกาวทาติดไว้กับพื้น และเวลาเดินผู้ป่วยจะกางเท้าออก เพื่อรักษาสมดุลไม่ให้ล้ม เมื่อมีอาการมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการทรงตัวไม่ดี นั่งตัวเอน เดินเซ และล้มบ่อย (ซึ่งมักเป็นสาเหตุที่ทำให้นำตัวผู้ป่วยมาพบแพทย์) อาการจะแย่ลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาจเดินไม่ได้


ต่อมา ผู้ป่วยจะมีอาการข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อดังต่อไปนี้ตามมา

    กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้ โดยเริ่มแรกจะมีอาการปัสสาวะบ่อย เวลารู้สึกปวดปัสสาวะจะต้องรีบไปเข้าห้องน้ำทันที หากไปไม่ทันก็จะมีปัสสาวะเล็ด เมื่อเป็นมากขึ้นผู้ป่วยจะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ มีอาการปัสสาวะราดโดยไม่รู้ตัว (ผู้ป่วยมักต้องใส่ผ้าอ้อมไว้)
    อาการสมองเสื่อม เช่น ญาติสังเกตเห็นผู้ป่วยมีอาการคิดช้า ทำอะไรช้าลงกว่าเดิมมาก ความจำแย่ลง หลงลืมบ่อย ขาดสมาธิ ตัดสินใจหรือตอบสนองช้า กลางวันมีอาการนั่งหลับ ง่วงซึม หรือนอนมาก บางรายอาจมีอาการสับสน อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า (ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส นั่งร้องไห้)
    อาการผิดปกติเกี่ยวการพูดและการกลืน ผู้ป่วยจะพูดน้อย เสียงเบาหรือเสียงแหบ กลืนลำบาก สำลักบ่อยเวลากินอาหารหรือดื่มน้ำ เวลานอนอาจสำลักน้ำลายตัวเอง (ตื่นขึ้นมาไอตอนกลางคืน)

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้ หรือไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจมีภาวะแทรกซ้อน ดังนี้   

    กระดูกหักหรือศีรษะได้รับบาดเจ็บจากการหกล้ม ซึ่งอาจมีอันตรายร้ายแรงได้ เช่น กระดูกต้นขาหัก เลือดออกในสมอง เป็นต้น
    ปอดอักเสบจากการสำลัก
    สูญเสียคุณภาพชีวิตเนื่องจากการเดินไม่ได้ และ/หรือภาวะสมองเสื่อม
    อาจนอนติดเตียงและเกิดแผลกดทับ ซึ่งพบได้น้อย ภาวะนี้จะเกิดกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจนมีอาการรุนแรง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

มักตรวจพบความผิดปกติเกี่ยวกับการเดินและการทรงตัว เช่น เดินช้า เดินซอยเท้า ก้าวสั้น ๆ ก้าวเท้าไม่พ้นจากพื้น เดินกางเท้าออก เดินเซ นั่งตัวเอน ยืนหรือเดินในท่าโน้มตัวไปข้างหน้า

อาจพบอาการอื่น เช่น ได้กลิ่นปัสสาวะที่ถ่ายราดติดกางเกงหรือผ้าอ้อม คิดช้า พูดช้า พูดน้อย ตอบคำถามช้า ทำอะไรชักช้างุ่มง่าม เสียงแหบ หน้าซึมเศร้า


แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด ดังนี้

    ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะพบว่าโพรงสมองของผู้ป่วยโรคนี้มีขนาดใหญ่ผิดปกติ
    ทำการเจาะหลัง (lumbar puncture) นอกจากทำการวัดความดันของน้ำไขสันหลัง (ซึ่งพบว่ามีค่าปกติ) แล้ว แพทย์จะทำการทดลองระบายน้ำไขสันหลัง (tap test) ซึ่งช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยและการวางแผนการรักษา โดยระบายน้ำออกมา 40-60 มิลลิลิตร ถ้าหลังการระบายน้ำ พบว่าผู้ป่วยเดินได้ดีขึ้นชั่วคราว แสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรคนี้ และจะได้ประโยชน์มากจากการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังตัวระบายน้ำ

การรักษาโดยแพทย์

สำหรับโรคน้ำเกินในสมอง แพทย์จะทำการผ่าตัดฝังสายระบายน้ำ (shunt) ไว้ใต้ผิวหนัง โดยจะฝังสายระบายน้ำจากโพรงสมองเข้าสู่ช่องท้อง หรือจากช่องไขสันหลัง (บริเวณหลังส่วนล่าง) เข้าสู่ช่องท้อง (ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเลือกให้เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย) แล้วน้ำที่ระบายออกมาในช่องท้องก็จะถูกดูดซึมออกไปโดยเยื่อบุช่องท้อง ทำให้ลดการคั่งของน้ำในโพรงสมองลงได้ อาการต่าง ๆ ก็จะทุเลาลงได้อย่างรวดเร็ว

หลังผ่าตัดแพทย์จะให้ผู้ป่วยพักรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการและป้องกันหรือแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะอยู่โรงพยาบาลเพียงไม่กี่วัน ก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้

หากพบว่าผู้ป่วยเป็นภาวะน้ำเกินในสมองชนิดทุติยภูมิ แพทย์จะทำการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่นเนื้องอกสมอง โรคหลอดเลือดสมอง) ไปพร้อมกัน

นอกจากนี้ สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาการเดินมาเป็นเวลานาน มีกล้ามเนื้อขาลีบและอ่อนแรง แพทย์ก็จะทำการฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยด้วยการทำกายภาพบำบัด (ฝึกยืน ฝึกเดิน) ซึ่งกว่าจะฟื้นตัวได้ดีอาจใช้เวลาฝึกอยู่นานหลายเดือน


ผลการรักษา ส่วนใหญ่จะได้ผลดี อาการต่าง ๆ จะทุเลาลงได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัดฝังสายระบายน้ำ เช่น หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น ก้าวเดินได้ดีขึ้น สำลักน้อยลง พูดได้ดีขึ้น เสียงแหบน้อยลง กลั้นปัสสาวะได้ดีขึ้น แล้วต่อมาก็จะค่อย ๆ ฟื้นหายเป็นปกติได้


สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการสมองเสื่อมก่อนอาการเดินผิดปกติและกลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือมีอาการสมองเสื่อมที่รุนแรง หรือได้รับการรักษาล่าช้าไปจนเซลล์สมองถูกทำลายอย่างถาวร การรักษาจะไม่ได้ผลดี

การดูแลตนเอง

หากมีอาการเดินผิดปกติ (เดินช้า เดินซอยเท้า ก้าวสั้น ๆ เดินกางเท้าออก เดินเซ) ร่วมกับมีอาการหกล้มบ่อย ปัสสาวะราดบ่อย สำลักบ่อย เสียงแหบเรื้อรัง และ/หรือหลงลืมบ่อย เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

ถ้าตรวจพบว่าเป็นภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง ควรรับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังสายระบายน้ำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 

หลังได้รับการผ่าตัด และกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรปฏิบัติตัว ดังนี้

    ดูแลบาดแผลผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์ ระวังอย่าให้แผลติดเชื้อ
    หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมและการเคลื่อนไหวร่างกายที่อาจกระทบต่อการทำงานของสายระบายน้ำ
    ทำกายภาพบำบัดจนกว่าจะร่างกายแข็งแรง (ตามคำแนะนำของแพทย์และนักกายภาพบำบัด)
    กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง ได้แก่ อาหารจำพวกโปรตีน นม ไข่ ผัก ผลไม้
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    แผลผ่าตัดมีอาการปวด บวม แดง ร้อน มีหนอง หรือน้ำเหลืองไหล
    มีอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดท้อง อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ได้) ตาพร่ามัว กระสับกระส่าย ง่วงซึม ชักหรือหมดสติ เป็นต้น
    อาการของภาวะน้ำเกินในโพรงสมองซึ่งทุเลาลงหลังผ่าตัดกลับมากำเริบใหม่ หรือมีอาการผิดปกติที่ทำให้สงสัยว่าสายระบายน้ำทำงานไม่เป็นปกติ และไม่สามารถปรับได้เอง (แพทย์จะสอนผู้ป่วยและญาติให้รู้จักวิธีดูแลสายระบายน้ำ ถ้าลองดูแลเองที่บ้าน เกิดปัญหาและแก้ไขไม่ได้ ก็ควรรีบกลับไปพบแพทย์)
    หากแพทย์ให้ยามากินที่บ้าน หลังกินยามีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับภาวะน้ำเกินในสมองชนิดไม่ทราบสาเหตุในผู้สูงอายุ 

สำหรับภาวะน้ำเกินในโพรงสมองชนิดทุติยภูมิ อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคลงได้บ้าง โดยการควบคุมโรคบางชนิด อาทิ

    ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยการควบคุมโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ (เช่น บุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกิน) ที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง
    ป้องกันไม่ให้เป็นโรคสมองอักเสบและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ดูการป้องกัน โรคสมองอักเสบ และ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพิ่มเติม)
    ป้องกันไม่ให้ศีรษะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น การหกล้ม อุบัติเหตุจราจร

ข้อแนะนำ

1. อาการต่าง ๆ ของผู้ที่เป็นภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง (เช่น เดินช้า เดินเซ ความจำไม่ดี ปัสสาวะราด สำลักบ่อย พูดน้อย พูดเสียงเบา) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุโดยทั่วไป ทำให้ญาติเข้าใจว่าเป็นโรคคนแก่ และมักจะปล่อยให้ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง โดยจ้างคนมาดูแล หรือพาไปพักอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และในที่สุดเกิดความพิการอย่างถาวร ดังนั้น หากพบผู้สูงอายุมีอาการดังกล่าว ควรพาไปพบแพทย์ เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคนี้จริง การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังสายระบายจะช่วยให้อาการดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้


2. ภาวะน้ำเกินในโพรงสมองมีอาการคล้ายโรคพาร์กินสัน (คืออาการเดินช้า เดินก้าวสั้น เดินซอยเท้า เดินขากาง บางรายอาจมีอาการแขนขาเกร็ง หรือมือสั่น) และอัลไซเมอร์ (ความจำเสื่อม คิดช้า ทำอะไรช้า) ซึ่งอาจทำให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาแบบโรคพาร์กินสันหรืออัลไซเมอร์ เป็นเหตุให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ได้รับการรักษาล่าช้าไป

ดังนั้น หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคพาร์กินสัน หรืออัลไซเมอร์ ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจให้แน่ใจเสียก่อนว่าเป็นภาวะน้ำเกินในโพรงสมองหรือไม่ ถ้าพบว่าเป็นภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง จะได้รับการรักษาได้ทันการณ์ และช่วยให้หายได้


3. ผู้สูงอายุที่เป็นภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง อาจมีโรคเรื้อรังอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น ควรทำการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป เพราะโรคเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยภาวะน้ำเกินในโพรงสมองเสียชีวิตไวกว่าเวลาอันควรได้

บางรายอาจมีอัลไซเมอร์หรือกลุ่มอาการพาร์กินโซนิซึมคล้ายพาร์กินสัน (เช่น การเคลื่อนไหวช้า แขนขาเกร็ง ทรงตัวไม่ได้ มือสั่น) ร่วมด้วย ทำให้มีความยุ่งยากซับซ้อนในการรักษา ซึ่งหลังการผ่าตัดฝังสายระบายน้ำ ก็ยังจำเป็นต้องใช้ยาควบคุมหรือบรรเทาอาการอย่างต่อเนื่อง


4. ผู้สูงอายุที่มีอาการล้มบ่อยจากการเดินผิดปกติ ปอดอักเสบบ่อยจากการสำลัก หรือมีอาการปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะราด (ซึ่งคิดว่าเป็นต่อมลูกหมากโต) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าเป็นภาวะน้ำเกินในโพรงสมองหรือไม่


5. ญาติผู้ป่วยควรเรียนรู้ให้เข้าใจถึงธรรมชาติ และแนวทางการรักษาของภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง ซึ่งเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดฝังสายระบาย มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจหรือมีความเชื่อผิด ๆ หรือมีความกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากการผ่าตัด ไม่ยอมรับการรักษาด้วยการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากขึ้นจนเกิดความพิการอย่างถาวรและเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร

3
คอนโดติดรถไฟฟ้า ออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ทริปเปิ้ล สเตชั่น (Origin Play Bangkhunnon Triple Station)
เริ่มต้น 2 ลบ.

ออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ทริปเปิ้ล สเตชั่น (Origin Play Bangkhunnon Triple Station)
คอนโดใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ ย่านบางขุนนนท์ มาใน concept PLAY ให้สุด!!! ความสนุก x2 ด้วย ห้อง 2 ชั้น ตอบโจทย์ทุก lifestyle มาพร้อมกับส่วนกลางที่เปิด 24 ชม. ให้ได้ play กันอย่างจุใจ เดินทางสะดวก 200 เมตร ถึง MRT บางขุนนนท์ เชื่อมต่อ รถไฟฟ้า 3 สาย (น้ำเงิน ส้ม แดง) ใกล้ รพ.ศิริราช และเซนทรัลปิ่นเกล้า

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            ออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ทริปเปิ้ล สเตชั่น (Origin Play Bangkhunnon Triple Station)
 เจ้าของโครงการ       ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
 แบรนด์ย่อย             ออริจิ้น เพลย์
 ราคา                    เริ่มต้น 2 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ความสูงคอนโด          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ขนาดห้องที่มี             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 เนื้อที่ทั้งหมด             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนตึก                 โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น                 โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้อง               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ที่จอดรถทั้งหมด         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน
 ที่ตั้ง

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:            ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สถานี(ท่าพระ - บางซื่อ)(บางขุนนนท์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Central ปิ่นเกล้า
ท่าเรือวังหลัง
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
โรงพยาบาลศิริราช

4
หมอประจำบ้าน: มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer)

มะเร็งตับอ่อน พบได้ไม่บ่อยนัก พบได้ประมาณร้อยละ 1 ของมะเร็งทางเดินอาหาร พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า มักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบได้มากยิ่งขึ้นในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่
    ภาวะอ้วน หรือเบาหวาน
    ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็ง (ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการดื่มสุราจัด)
    การบริโภคไขมันสัตว์มาก และกินผักผลไม้น้อย
    การสัมผัสสารเคมี (เช่น น้ำมันเบนซิน สารกำจัดศัตรูพืช สีย้อมบางชนิด ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปิโตรเลียม)
    การมีประวัติโรคนี้ หรือมะเร็งชนิดอื่น (เช่น มะเร็งเต้านม รังไข่ มดลูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ไต) ในครอบครัว ซึ่งสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการแสดง จนกว่ามะเร็งลุกลามมากแล้วก็จะมีอาการปวดท้องส่วนบนและปวดร้าวไปที่หลัง ซึ่งมักปวดเวลาหลังอาหารหรือนอนลง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีอาการแบบอาหารไม่ย่อย ตาเหลืองตัวเหลือง อุจจาระสีซีดขาว (เนื่องจากก้อนมะเร็งอุดกั้นทางเดินน้ำดี) คันตามผิวหนัง อาจคลำได้ก้อนในท้อง ตับโต คลื่นไส้ อาเจียน (เนื่องจากลำไส้อุดกั้นจากก้อนมะเร็ง) ท้องเดินเรื้อรัง (เนื่องจากผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารได้น้อย ทำให้การดูดซึมผิดปกติ) หรือมีอาการที่เกิดจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังที่อื่น


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้มีอาการเจ็บปวด น้ำหนักลดมาก

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี (มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อุจจาระสีซีดขาว) ทางเดินอาหารอุดกั้น (ปวดท้อง อาเจียน) มีเลือดออกในลำไส้ (ทำให้ถ่ายอุจจาระดำ โลหิตจาง) เข้าในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ท้องมาน) และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การส่องกล้องและฉีดสีเข้าไปในท่อน้ำดี (endoscopic retrograde cholangiopancreatography/ERCP)

อาจทำการตรวจหาระดับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) ได้แก่ สารCA 19-9 ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา

โดยทั่วไปแพทย์จะตรวจชิ้นเนื้อเวลาทำการรักษาด้วยการผ่าตัด

หากจำเป็นแพทย์อาจทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดก่อนให้การรักษา ด้วยการตรวจชิ้นเนื้อโดยการใช้เข็มเจาะดูด (fine-needle aspiration) หรือใช้กล้องส่องเข้าช่องท้อง และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด หรือให้รังสีบำบัดและเคมีบำบัดในรายที่ผ่าตัดไม่ได้

ผลการรักษาไม่สู้ดี มักอยู่ได้ไม่นาน (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีต่ำกว่าร้อยละ 10) ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อมีอาการมาพบแพทย์ก็มักจะพบว่าเป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดท้องส่วนบนและปวดร้าวไปที่หลัง, มีอาการแบบอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง, ตาเหลืองตัวเหลืองและอุจจาระสีซีดขาว, น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับอ่อน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันอย่างได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับอ่อน ดังนี้

    ไม่สูบบุหรี่
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด เพื่อลดการเป็นโรคตับแข็งและตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง (โรคสองชนิดนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อน)
    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    กินอาหารที่มีไขมันสัตว์ต่ำ และกินผักและผลไม้ให้มาก ๆ

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการปวดท้อง ปวดหลังเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

5
มือถือ Huawei หัวเหว่ย Huawei-Mate 50 (8GB/128GB)
N/A 

หัวเหว่ย Huawei-Mate 50 (8GB/128GB)
Huawei Mate 50 หน้าจอ OLED ขนาด 6.7 นิ้ว มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ความจุแบตเตอรี่ 4,460 mAh รองรับ Fast charging 66W

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                 หัวเหว่ย Huawei-Mate 50 (8GB/128GB)
   ราคากลาง               -
   จำนวนซิม              2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์              จอสัมผัส
   สี                       Silver, Black
   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM 850 / 900 / 1800 / 1900)
3G(HSDPA 800 / 850 / 900 / 1700(AWS) / 1900 / 2100)
4G(1, 2, 3, 4, 5, 7, 8, 12, 13, 17, 18, 19, 20, 26, 28, 32, 34, 38, 39, 40, 41, 66)

   ขนาด-น้ำหนัก                   ยาว 161.5 x กว้าง 76.1 x หนา 7.98 มม., น้ำหนัก 206 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)  128 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด    Nano Memory
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ      ความจุแบตเตอรี่ 4,460 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ               จอสัมผัส (OLED)
   ความละเอียด        6.7 นิ้ว, 442 ppi, 2,700 x 1,224 px
   รายละเอียดอื่น
ประมวลผลชิปเซ็ต Snapdragon 8+ Gen 1 4G
ระบบปฏิบัติการ EMUI 13
กล้องหลัง 3 เลนส์ เลนส์หลัก 50 MP, f/1.4-f/4.0 + เลนส์ periscope telephoto 12 MP, f/3.4 + เลนส์ ultrawide 13 MP, f/2.2
มีระบบเซนเซอร์ Fingerprint (under display, optical), accelerometer, gyro, proximity, barometer, compass, color spectrum
รองรับ Fast charging 66W

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                  กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (13 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                              Auto Focus, Flash

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)           Octa-core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)   Adreno
   หน่วยความจำ (RAM)              8.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก              Infrared, USB(Type-C 3.1), Bluetooth(5.2), NFC, Wi-Fi(802.11 a/b/g/n/ac/ax)
   ระบบรับส่งข้อความ                  SMS, MMS, EMAIL
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, GPRS, EDGE, WiFi, 4G
   ระบบ GPS                          A-GPS. Up to tri-band: GLONASS (3), BDS (3), GALILEO (2), QZSS (2), NavIC

6
บริการทำความสะอาด: เคล็ดลับ ! ลดกลิ่นอับในห้องนอนและตู้เสื้อผ้า

กลิ่นอับในห้องนอน และ กลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความกวนใจให้กับเราไม่ใช่น้อย ถ้าหากเราไม่ใส่ใจ ทำความสะอาด บ่อยๆ และ ถ้าหากปล่อยไว้นานๆ คงจะไม่ดีแน่ !!

หากใคร คนไหนกำลังประสบปัญหากับกลิ่นอับในห้องนอนและตู้เสื้อผ้าอยู่ เรามีเคล็ดลับดีๆ บอกลา ! กลิ่นอับในห้องนอนและกำจัดกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้ากับ 4 เคล็ดลับบอกลากลิ่นแบบง่ายๆ มาฝากกัน…

เคล็ดลับง่ายๆ ลดกลิ่นอับในห้องนอน

1. เปิดหน้าต่าง

ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เปิดหน้าต่างในห้อง ให้แสงจากภายนอกส่องเข้ามา ช่วยทำให้อากาศในห้องนอนถ่ายเท แถมยังช่วยฆ่าเชื้อโรคไปในตัว


2. ทำความสะอาดห้องนอน

หมั่นปัดกวาดเช็ดถูห้องนอนอย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยทำให้ห้องนอนของเรานั้นดูน่าอยู่ สะอาดตา ยังถือเป็นการช่วยลดกลิ่นอับต่างๆ ได้อีกด้วย


3. น้ำมันหอมระเหย

อีกหนึ่งตัวช่วยที่น่าสนใจ ซึ่งอาจจะลองเลือกใช้ น้ำมันจากชา เพราะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย แถมยังนำไปใช้ในการบำบัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย


4. เครื่องฟอกอากาศ

อีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยกำจัดกลิ่นอับและกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ แถมยังช่วยกรองฝุ่นละอองและเชื้อโรคต่างๆ ทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น



เคล็ดลับง่ายๆ กำจัดกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า

1. ถ่าน

วิธีก็แค่นำถ่านใส่ถุงผ้าแล้วนำไปวางในตู้เสื้อผ้าซึ่งสามารถช่วยดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้


2. มะนาว

ของอีกหนึ่งสิ่งที่เชื่อได้ว่าทุกบ้านต้องมีติดครัว เพียงแค่นำน้ำมะนาวผสมกับน้ำอุ่น หาผ้าสะอาดสักผืนชุบน้ำดังกล่าว จากนั้นนำไปเช็ดทำความสะอาดตู้เสื้อผ้า แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง


3. สบู่ก้อน

นำสบู่ก้อนมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ในภาชนะวางในตู้เสื้อผ้า ปิดประตูให้เรียบร้อย จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง แล้วค่อยนำภาชนะออกมา ถือเป็นอันเสร็จสิ้น


4. กากกาแฟ

เพียงแค่นำกากกาแฟใส่ภาชนะเล็กๆ แล้วนำไปตั้งในตู้เสื้อผ้า ปิดประตูให้เรียบร้อยแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยดับกลิ่นได้

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับเคล็ดลับง่ายๆ ที่เรานำมาฝาก คงจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆคน อย่าลืมลองนำเคล็ดลับดีๆ ที่เราหยิบมาฝากกัน ไปลองปรับใช้กันดู
เพื่อให้ห้องนอนและตู้เสื้อผ้าของเราปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์และน่าอยู่ยิ่งขึ้น


7
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



8
ขายรถป้ายแดง MG 5 1.5 D+ ปี2024 ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

เอ็มจี MG 5 1.5 D+ MY2022 ปี 2022
ALL NEW MG5 รถยนต์สปอร์ตคูเป้ซีดานมาพร้อมนิยาม BORN TO BE BEYOND : คิดให้เหนือกว่า เพื่อทุกความเป็นคุณ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นให้มีความเหนือกว่าในทุกด้านด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT DYNAMIC ซึ่งให้ความเหนือชั้นกว่าทั้งในด้านสมรรถนะ, การควบคุม, การออกแบบ และความปลอดภัย เพื่อให้เป็นยนตรกรรมที่มีความสปอร์ต ที่มาพร้อมความสะดวกสบายตอบทุกไลฟ์สไตล์ด้วยฟังก์ชัน และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน DOHC VTi-TECH 4 สูบ 1.5 ลิตร ให้พละกำลัง 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ 8 สปีด

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 1 พ.ย. - 31 ธ.ค. 2567
โปรโมชั่น ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.29% ตลอดอายุสัญญา
วารันตี 2ปี

ราคาพิเศษ 399,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์               MG
   รุ่น                    เอ็มจี MG 5 1.5 D+ MY2022 ปี 2022
   ประเภทรถ           รถเก๋ง 4 ประตู, Sport Coupe
   ปีที่เปิดตัว           2022



9
จัดฟันบางนา: รากฟันเทียม มีอันตรายหรือไม่

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมในปัจจุบัน มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการพัฒนาให้ผลการรักษามีอัตราความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยกำหนดตำแหน่งในการฝังรากฟันเทียม ทำให้การคลาดเคลื่อนของตำแหน่งรากฟันเทียมที่ฝังมีข้อผิดพลาดที่น้อยมาก หากเปรียบเทียบกับการฝังรากฟันเทียมแบบปกติ ซึ่งในปัจจุบันการฝังรากฟันเทียมเป็นการแก้ไขปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันเป็นการแก้ไขปัญหาการสูญเสียฟันในผู้เข้ารับการรักษาที่สูญเสียฟันและต้องการกลับมามีสภาพช่องปากและฟันที่ดี รวมไปถึงมีฟันที่สามารถบดเคี้ยวอาหารหรือรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของบุคลิกภาพทำให้มีรอยยิ้มที่สดใสมั่นใจ ส่งเสริมบุคลิกภาพได้ดีอีกด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมในปัจจุบันนั้น

ถือว่าเป็นที่นิยมมากและได้รับการยอมรับจากผู้ที่มีปัญหาฟัน เนื่องจากการใช้งานของรากฟันเทียมมีความใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งข้อเสียก็มีแต่ถือว่าน้อยมาก เนื่องจากการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมจะต้องมีการผ่าตัดเพื่อฝังส่วนรากฟันเทียมลงไปบนกระดูกขากรรไกรที่ใช้รองรับรากฟันเทียม โดยการผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่ออวัยวะสำคัญบริเวณขากรรไกรได้ รวมทั้งยังเสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ หากผู้เข้ารับการรักษาปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ก็จะทำให้ป้องกันปัญหาการอักเสบติดเชื้อและยังช่วยให้มีอัตราความสำเร็จของการรักษามากยิ่งขึ้นอีกด้วย

หลายคนที่ตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม อาจจะมีความกังวลในเรื่องของการอักเสบ ติดเชื้อหรือการดูแลตัวเอง ภายหลังจากการผ่าตัดซึ่งต้องบอกเลยว่า ภายหลังจากการผ่าตัดนั้นผู้เข้ารับการรักษาจำเป็นจะต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับในช่วงแรกจะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร รวมไปถึงการดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปากและฟัน ให้มีความสะอาดอยู่เสมอ

และที่สำคัญควรงดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงอาหารที่จะเป็นอันตรายหรือส่งผลกระทบต่อรากฟันที่เพิ่งทำการฝังลงไปบนกระดูกขากรรไกร ต้องถือว่าการดูแลตัวเองภายหลังจากการผ่าตัดมีความสำคัญมากเพราะจะขึ้นอยู่กับผลการรักษาว่าจะมีประสิทธิภาพหรือมีอัตราความสำเร็จมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการใช้งานของรากฟันเทียมในอนาคตอีกด้วย หลายคนคงทราบกันดีว่าการฝังรากฟันเทียมมีข้อดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยทดแทนฟันธรรมชาติทำให้มีรอยยิ้มที่มั่นใจอีกครั้ง รวมไปถึงยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันและยังทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีฟันที่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างเต็มที่ และมีความกังวลว่ารากฟันเทียมนั้นมีอันตรายหรือไม่ต้องบอกก่อนว่าการฝังรากฟันเทียมไม่มีอันตราย เนื่องจากวัสดุที่นำมาทำรากฟันเทียมสามารถเข้ากับร่างกายมนุษย์ได้เป็นอย่างดีและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆตามมา ทั้งยังมีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถอยู่ได้อย่างถาวร หากผู้เข้ารับการรักษามีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ทุกคน เนื่องจากการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมมีข้อจำกัดในเรื่องของสุขภาพร่างกายของผู้เข้ารับการรักษา ความพร้อมของกระดูกขากรรไกรที่จะใช้รองรับรากฟันเทียมว่ามีความหนาแน่นเพียงพอที่จะสามารถรองรับรากฟันเทียมได้หรือไม่ รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้เข้ารับการรักษา หากผู้เข้ารับการรักษามีประวัติการสูบบุหรี่ที่ค่อนข้างจัด ทันตแพทย์ก็จะทำการพิจารณาว่าสามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมได้หรือไม่

นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงสภาพของฟันและปัญหาของผู้เข้ารับการรักษาว่าควรที่จะเข้ารับการรักษาเพื่อทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไปด้วยวิธีการใด ทั้งนี้หากคุณมีความต้องการที่จะเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม สามารถขอรับคำแนะนำจากทีมทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เนื่องจากทางคลินิกของเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับรากฟันเทียมสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างเต็มที่และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้คลินิก ยังมีบริการทางด้านทันตกรรมอย่างครบวงจร หากคุณสนใจเข้ารับการรักษาฝังรากฟันเทียมหรือต้องการเข้ารับการรักษาในด้านอื่นๆเกี่ยวกับทันตกรรม

10
ดอกบัวอบแห้ง: วิธีการทำดอกไม้แห้ง ให้สวยงามและคงทน

การทำดอกไม้แห้งเป็นวิธีที่ดีในการเก็บรักษาความสวยงามของดอกไม้ให้คงอยู่ได้นาน และยังนำไปประดับตกแต่งได้หลากหลายรูปแบบอีกด้วยค่ะ วันนี้เรามีวิธีการทำดอกไม้แห้งแบบง่ายๆ มาฝากกันหลายวิธีค่ะ


วิธีการทำดอกไม้แห้ง

วิธีห้อยกลับหัว: วิธีนี้ง่ายที่สุด เพียงแค่ตัดก้านดอกไม้ให้เหลือประมาณ 1-2 นิ้ว แล้วมัดรวมกันเป็นช่อ จากนั้นห้อยกลับหัวในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
วิธีใช้เจลซิลิกา: วิธีนี้จะทำให้ดอกไม้แห้งเร็วและสีสันสดใส โดยนำดอกไม้ใส่ลงในภาชนะที่มีเจลซิลิกาปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 วัน
วิธีใช้ไมโครเวฟ: วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว แต่ต้องระวังไม่ให้ดอกไม้ไหม้ โดยนำดอกไม้ไปวางบนกระดาษซับน้ำมันแล้วนำเข้าไมโครเวฟเป็นระยะๆ
วิธีใช้หนังสือ: วางดอกไม้ระหว่างหน้าหนังสือหนาๆ หรือในสมุดโน้ต จากนั้นปิดหนังสือให้สนิท วางหนังสือทับด้วยของหนักๆ ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์

ดอกไม้ที่เหมาะสำหรับทำดอกไม้แห้ง
ดอกไม้ที่มีกลีบดอกหนา: เช่น ดอกกุหลาบ, ดอกดาวเรือง, ดอกเบญจมาศ
ดอกไม้ที่มีก้านแข็ง: เช่น ดอกลาเวนเดอร์, ดอกเอื้องหมายนา
ดอกไม้ที่มีสีสันสดใส: เช่น ดอกคาร์เนชั่น, ดอกไฮเดรนเยีย

เคล็ดลับเพิ่มเติม
เลือกดอกไม้ที่สดใหม่: ดอกไม้ที่สดใหม่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ตัดก้านดอกไม้ให้เฉียง: เพื่อให้ดอกไม้ดูดน้ำได้ดีขึ้น
ใช้สเปรย์ฉีดผม: ฉีดสเปรย์ฉีดผมบางๆ บนดอกไม้ที่แห้งแล้ว เพื่อช่วยให้สีสันคงอยู่ได้นานขึ้น
การทำดอกไม้แห้งเป็นกิจกรรมที่สนุกและสร้างสรรค์ สามารถนำดอกไม้แห้งที่ได้ไปประดับตกแต่งในบ้าน หรือทำเป็นของขวัญให้คนพิเศษได้อีกด้วย

หากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำดอกไม้แห้ง หรือต้องการไอเดียในการนำดอกไม้แห้งไปประยุกต์ใช้ สามารถสอบถามได้เลยนะคะ


ตัวอย่างการนำดอกไม้แห้งไปประยุกต์ใช้:

ทำเป็นพวงกุญแจ
ทำเป็นที่คั่นหนังสือ
ทำเป็นกรอบรูป
ทำเป็นของตกแต่งโทรศัพท์มือถือ
ประดับตกแต่งในแจกัน
ทำเป็นการ์ดอวยพร
ลองนำไอเดียเหล่านี้ไปปรับใช้กับดอกไม้แห้งที่คุณทำเองนะคะ แล้วคุณจะได้ของตกแต่งที่สวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่ะ

11
รถยนต์ไฟฟ้า MINI SE พลัง 218 แรงม้า แบตฯ ใหญ่ขึ้น ไปกลับ กทม.- สระบุรี ไหวมั้ย?

New Mini Cooper SE พลังไฟฟ้าล้วน ดีไซน์ล้ำอนาคตกว่าเดิม อับเกรทใหม่เพิ่มพลังและระยะทางที่มากกว่า....มินิกลับมาปฏิวัติวงการยานยนต์ไฟฟ้าของไทยอีกครั้ง ในเจเนอเรชันที่ 5 พร้อมพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ในดีไซน์มินิมอลสุดล้ำ พร้อมสมรรถนะการขับขี่แบบ "Electrified Go-Kart" ที่ยังคงสนุก เร้าใจ สร้างนิยามใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดระดับพรีเมียม ยกระดับภาพลักษณ์ของมินิที่มีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น เปิดราคา 1,699,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)
 

The new Mini Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้าน้องเล็กอับเกรดเพิ่มพลังและระยะวิ่งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตันเมตร ความจุ 54.2 kWh หรือ 402 กม. WLTC ทดสอบเดินทางไปกลับ BMW Group Thailand Training Centre ปทุมธานี - The Barnery เดอะ บาร์นเนอรี่ สระบุรี ระยะทางรวม 171.2 กม. แบตฯ เหลือ 57% ระยะทางคงเหลือ 239 กม. จาก 402 ที่เคลมไว้นับว่าใกล้เคียงขับนอกเมืองวิ่งได้จริงอาจถึง 350 - 380 กม. !!
 
ภายนอก-ภายใน ความสะดวกสบาย

ภายนอกทรงเล็กกระทัดรัดมิติกว้าง ยาว สูง กว่ารุ่นเดิมทุกมิติ ทำให้นั่งสบายมีพื้นที่มากกว่าทั้งด้านหน้าและหลัง ไฟหน้าและไฟท้ายปรับการแสดงผลได้ตามโหมดรถยนต์ ไฟหน้าและหลังสามารปรับการแสดงผลได้ 3 แบบ Classic, Favoured และ John Cooper Works และล้ออัลลอย 18 นิ้ว ยาง 225/40R18 ซึ่งยางแต่ละล็อตจะมีคละกัน Michelin, Goodyear หรือ MAXXIS ติดมาแตกต่างกันไปแต่รับรองมาตรฐานด้านสมรรถนะทุกแบรนด์จาก BMW
 
ภายในมินิมอลได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเรียบง่ายและความยั่งยืนควบคู่กัน โดยแผงหน้าปัด แผงประตู และฝาปิดช่องเก็บของต่าง ๆ ภายในรถล้วนผลิตจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 90% สวิตช์รวบคุมอยู่จอกลาง ขนาดใหญ่ แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนบนแสดงการขับขี่ ความเร็ว ระยะทาง ระดับแบตฯ ส่วนกลางเป็นความบันเทิง และล่างสุดปรับระบบแอร์ กับปุ่มทางลัดเมนูต่าง ๆ และสวิตช์ใต้จอกลาง รองรับ Apple CarPlay / Android Auto แต่ถ้าใช้ Google map จอจะเหลือแนวยาวเท่านั้น ด้านบนและล่างจอจะดำ ให้ใช้งานแผนที่ติดรถจะดีกว่าเพราะบอกระดับแบตฯ คงเหลือเมื่อถึงปลายทางได้ด้วย
 

ระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยมือของทีมงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป บนพื้นฐานของ Android Open Source Project (AOSP) เชื่อมต่อกับแพ็คเกจ MINI Navigation ขณะขับขี่เพื่อช่วยนำทางด้วยระบบคลาวด์ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายแบบ 5G ในตัว และยังสามารถแสดงภาพสามมิติเพื่อช่วยนำทางผ่านจุดเลี้ยวที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจ ส่วน MINI Connected Store ยังมอบแอปพลิเคชันที่หลากหลาย ครบครันทั้งแอปเพื่อการใช้งานและความบันเทิง รวมถึงเกม แอปสตรีมเพลงและวิดีโอ

เมื่อลองขับด้วย 'Green Mode' จะตั้งค่ารถเป็นโหมดการขับขี่แบบมีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อเพิ่มระยะทางการขับขี่สูงสุด หรือจะใช้พลังงานคุ้มค่าและประหยัดมากขึ้น พร้อมกับคันเร่งที่หน่วงค่อย ๆ ตอนสนองอย่างช้า ๆ และสามารถช่วยเพิ่มระยะทางได้จริงเมื่อขับยาว ๆ นาน ๆ ในโหมดนี้ และถ้าต้องการใช้กำลังเร่งแซงก็แค่เพิ่มคันเร่ง พลังงานก็จะปล่อยเพิ่มตามที่ต้องการ โดยตอนขับประหยัดหน้าจอจะเป็นรูป "นกบิน" แต่เมื่อเพิ่มความเร็วจนเลยจุดที่ประหยัดก็จะเปลี่ยนเป็น "เสือ" สีขาวอ่อน ๆ และถ้าเหยียบคันเร่งมากขึ้นไปอีกเสือตัวนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม ๆ และเมื่อยกหรือถอนคันเร่งก็จะกลับมาเป็น "นกน้อย" อีกรั้ง
 
ปรับโหมดเพื่อเลือกแสงและเสียงในรถได้ 7 โหมด โดยเฉพาะ ‘Go-Kart Mode' จะเปลี่ยนชุดสีหน้าจอเป็นสีดำ Anthracite ผสมกับสีแดง และระบบไฟ ambient light สีแดง เติมความดุดันให้เข้ากับการขับขี่ในแบบสปอร์ตด้วยเสียงเครื่องยนต์จากรุ่นจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ที่ปรับแต่งมาเพื่อสร้างความเร้าใจโดยเฉพาะ
 
สามารถเลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ Classic, Favoured และ JCW  พร้อมหน้าจอ OLED ก็คือผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal Assistant ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทย พร้อมตอบสนองทุกคำสั่ง เพียงออกเสียงเรียกว่า “Hey MINI!” หรือจะเลือกกดปุ่มสั่งการด้วยเสียงบนพวงมาลัยก็สะดวกไม่แพ้กัน ซึ่งนอกจากแค่การรับคำสั่ง MINI Intelligent Personal Assistant ยังสามารถปรากฏตัวทักทายคุณบนหน้าจอ MINI Interaction Unit ในรูปของรถ “MINI” ที่เป็นหน้าตาแบบมาตรฐาน หรืออาจเลือกอัปเกรดผ่านแพ็คเกจ MINI Connected ให้เป็นน้องหมา “Spike” ได้ด้วย

 
ความสะดวกสบาย ด้วยหน้าจอ MINI Interaction Unit ทรงกลมขนาดใหญ่ที่แผงคอนโซลด้านหน้า ซึ่งเป็นจอแสดงผล OLED ความละเอียดสูง แสดงข้อมูลสำคัญของตัวรถ เช่น ความเร็วรถและสถานะแบตเตอรี่ ฯลฯ พร้อมระบบ Head-up Display แผนที่นำทางที่สามารถคำนวนระดับแบตฯ คงเหลือเมื่อถึงจุดหมายได้ แผงควบคุม Toggle Bar ดีไซน์ใหม่จากมินิรุ่นคลาสสิกเป็นสวิตช์ต่าง ๆ คือ เบรกมือ สวิตช์เลือกเกียร์ สวิตช์หมุนสตาร์ท/ดับเครื่อง สวิตช์สลับโหมด MINI Experience หรือปุ่มการควบคุมระดับเสียงเพลง
 

ระบบต่าง ๆ ที่น่าสนใจคือ ระบบช่วยจอด 3 รูปแบบ และการถอยอัตโนมัติ ระบบเตือนเมื่อมีรถขณะถอยหลังพร้อมเบรก ระบบเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง แท่นชาร์จไร้สาย ช่องชาร์จไฟ USB-C 2 จุดด้านหน้า ด้านหลังไม่จำเป็นเท่าไหร่นักเพราะน้อยครั้งที่จะมีคนนั่งหลัง
 
ขาดกลิ่นไอ “MINI COOPER" ไปบ้างในหลายส่วน
อย่างไรก็ตาม All new MINI COOPER SE คันนี้ให้สมรรถนะดีในหลายด้านอย่างที่ปฎิเสธยาก เพราะการเซทติ้งที่ BMW MINI ดูแลเอง จึงได้ความเป็น MINI เต็ม ๆ แต่สิ้งที่อ่จขาดหายไปจากกลิ่นไปเดิมคือ ดวงไฟหน้าและท้ายที่ปรับรูปทรงใหม่ ทำให้เมื่อมองไกล ๆ ลดความเป็นมินิลงไปและลดความโดดเด่น จากรุ่นดั้งเดิม มีความเหลี่ยมมาเกิน จนขาดเอกสักษณ์เฉพาะตัว ส่วนภาพในการตกแต่งวัสดุด้วย ผ้าลายถักและสายเข็มขัดแทรก ๆ ตามจุดต่าง ๆ เช่น คอนโซลหน้าฝั่งซ้ายและที่ด้านล่างพวงมาลัย ทำให้ขัดตากับความเป็นแบรนด์หรูพรีเมี่ยม (แล้วแต่มุมมองแต่ละคนด้วย)

นอกจากนี้ผิวสัมผัสของวัสดุแผงประตูหรือชุดลำโพง หรือตรงชุดแผงควบคุมใต้จอกลางที่ยื่น ๆ ออกมาและไม่ใช่ปุ่มแบบห้องคนขับเครื่องบินแบบเดิม ๆ ทำให้ลดความเป็น MINI เดิมลงไปหน่อยครับ ซึ่งถ้าใครไม่ติดใจและรับได้ในจุดเหล่านี้ และแลกกับสมรรถนะความปลอดภัยและแบรนด์ ”MINI“ ก็อาจจะมองข้ามไปได้สบาย ๆ ครับ

 
สมรรถนะ แรงจัด เกาะแน่น กระด้างน้อยลงกว่าเดิม!!
 
สมรรถนะความแรง หนึบ คมกระชับ และเด้งจนจุก ตามสไตล์ DNA MINI COOPER ที่ต้องได้ฟิวลิ่งแบบ Go-Kart รถและผู้ขับเป็นหนึ่งเดียว จะเลี้ยว เร่งจอด เข้าโค้งสั่งได้ดั่งใจ อัตราเร่งดึงโหด ๆ ออกตัวแบบไม่กระชากดึงหน้าหงาย และค่อย ๆ นวล  ๆ ช่วงกลาง ๆ ถึงปลาย ๆ รอบมอเตอร์ มาพร้อมเสียงสังเคราะห์เพิ่มความมันตามแต่โหมดที่เลือกขับ

 
การตอบสนองของคันเร่งไม่กระชากยังคงให้ความสมูทในสไตล์ยุโรป ไม่โวยวาย แต่เมื่อเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก ก็จะรู้สึกถึงความแรง และแรงดึงแบบหลังติดเบาะ ที่ไม่มีอาการรอรอบกับพลังที่เพิ่มมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ทำให้การเร่งออกตัวหรือจะแซงทำได้ทันใจ นอกจากนี้ระบบเบนกก็มั่นใจเบรกได้อยู่สบาย ๆ พร้อมกับการปรับช่วงล่างที่กระชับแน่นหนึบเกาะถนนตามแบบฉบับ "MINI" ที่ยังมีให้อยู่เช่นเดิม
 
ระบบช่วงล่างหากในความเร็วต่ำมีความกระเด้งพอสมควรแต่เทียบกับรุ่นก่อนหน้ายังน้อยกว่า พอให้รู้สึกสบายตัวเวลาเดินทางยาว ๆ ส่วนความสูง ๆ กลับให้ความมั่นใจมาก ๆ เกาะถนนหนึบเหมือนพวกรถซิ่งปรับเปลี่ยนโช้คเกรดเรสซิ่งโหลดเตี้ย ให้อารมณ์สปอร์ตแบบไม่ต้องไม่แต่งอะไรเพิ่มแล้ว
 
การจัดสรรใช้พลังงานของ The New MINI Cooper SE ทำได้ดี จากจุดเริ่มต้น BMW Group Thailand Training Centre บางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานี ถึงร้าน The Barnery หนองแซง สระบุรี ระยะทางไป-กลับ จากแบตเตอรี่ประมาณ 97% ระยะทางที่ขับได้ 313 กม. รวมระยะทางทั้งหมดเฉพาะคันที่ขับนั้น 171.7 กม. เมื่อกลับถึงจุดเริ่มต้นคงเหลือที่ 57% และระยะทางคงเหลือ 240 กม. และค่าพลังงานที่ใช้เฉลี่ยรวมเพียง 12.3 kWh/100 กม. เท่านั้น นับว่าประหยัดไฟเกินคาดเมื่อเทียบกับพลังมอเตอร์ไฟฟ้าระดับ 218 แรงม้า แรงบิด 330 นัวตันเมตร ถือว่าใช้พลังงานไปได้อย่างคุ้มค้ามาก ๆ ครับ 

 
ความปลอดภัย

ระบบความปลอดภัยที่ได้ลองใช้ก็มีระบบเตือนพร้อมดึงกลับเมื่อออกนอกเลน ทำงานได้สมูทไม่กระชากมากนัก ระบบควบคุมความเร็วแปรผันก็ให้ความสมูทเช่นกัน จะเร่งหรือเบรก ๆ มากระชาก ไม่มึนหัว และทำงานแม่นยำมาก ๆ แต่ติดตรงระยะห่างระหว่างคันหน้าที่เยอะพอสมควรและแอบเสียดายที่ยังหาปุ่มปรับระยะไม่เจออีกด้วย และน่าเสียดายที่ไม่มีกล้องรอบคัน มีเพียงกล้องมองถอยหลังกับเส้นกะระยะเซ็นเจอร์ช่วยจอดไว้ดูเท่านั้นครับ
 
รวมถึงฟังก์ชันจอดรถอัตโนมัติอย่าง Parking Assistant และแพ็คเกจ Driving Assistant ซึ่งสามารถเลือกอัปเกรดเป็น Driving Assistant Plus ที่มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) โดยลูกค้าสามารถเลือกสมัครได้ในแบบ 1 เดือน 1 ปี 3 ปี และตลอดอายุการใช้งาน ส่วนฟีเจอร์กุญแจรถดิจิทัล MINI Digital Key Plus ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอีกระดับ ด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอชให้เป็นกุญแจรถ ซึ่งสามารถเปิดใช้งาน Welcome Light ได้โดยอัตโนมัติเมื่อเจ้าของรถอยู่ในระยะ 3 เมตรจากตัวรถ และสามารถปลดล็อคประตูอัตโนมัติเมื่อเดินเข้ามาในระยะ 1.5 เมตร รวมไปถึงการสตาร์ทเครื่องยนต์เมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งพร้อมจะออกเดินทาง นอกจากนี้ยังสามารถส่งต่อ Digital Key ให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย
 

สรุปความคุ้มค่า

เจ้าหนู MINI SE ราคาจำหน่าย 1,699,000 บาท นับว่าไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่เจาะจงเฉพาะผู้หลงไหลในความเป็น "มินิ" รูปลักษณ์ที่มีความเป็นตัวเองสูง และต่อยอดด้วยเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าล้วนที่ขยับความแรงและระยะทางให้ตอบสนองการใช้งานที่สะดวกสบายมากขึ้น แน่นอนว่าคู่แข่งในหลาย ๆ รุ่น อาจมีค่าตัวที่พอ ๆ กันหรือสูงกว่าเล็กน้อย หรืออจได้รถที่มีไซซ์ใหญ่ขึ้น อเนกประสงค์กว่า แต่อย่าลืมว่านี่คือ "มินิ" รถยนต์ที่ให้อารมณ์ขับขี่ในแบบที่ไม่มีใครเลียนแบบได้นะครับ 

 
สำหรับใครที่เล็งรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายยุโรปที่มีเอกลักษณืเฉพาะตัว ไม่มีใครแทนได้ต้องเป็น MINI SE เท่านั้น ที่จะได้ฟิวลิ่งแบบ Electrified Go-Kart ทั้งเกาะ แน้น หนึบ และแรงขับมันสไตล์ "มินิ" อย่างแท้จริง แม้จะมีระยะทางวิ่งไม่มากนัก แต่ก็นับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นใช้งานทุกวันในเมือง คล่องตัว จอดง่าย และให้ความเป็นส่วนตัวแบบ 2 ต่อ 2 ตอบสนองการใช้งานของหนุ่มสาวหรือผู้ที่ชอบความคล่องตัว และราคาที่ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าแต่ได้สมรรถนะและเทคโนโลยีเทียบเท่าหรือดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไปครับ   

12
วีโว่ vivo V40 5G (12GB/256GB)
15,999 บาท

วีโว่ vivo V40 5G (12GB/256GB)
ZEISS พอร์ตเทรตระดับโปรทุกกล้องเลนส์ ZEISS พอร์ตเทรต ZEISS หลายระยะโฟกัส
ออร่าพอร์ตเทรตAI แสงไฟสตูดิโอ 3D
สไตล์การออกแบบที่ประณีต ด้วยเฉดสีพิเศษ7.58 มม.* ความบางตัวเครื่อง
แบตเตอรี่ BlueVolt ความจุ 5500 mAh* ชาร์จไว 80W* วัสดุ Silicon-Carbon Anodes รุ่นที่ 2
IP68 ทนน้ำทนฝุ่น*
Qualcomm Snapdragon® 7 Gen 3 กระบวนการผลิต 4 nm 830,000 คะแนน AnTuTu*

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น             วีโว่ vivo V40 5G (12GB/256GB)
   ราคากลาง          15,999 บาท
   จำนวนซิม            2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์           จอสัมผัส
   สี                      Silver(Stellar Silver), Peach(Sunglow Peach), Purple(Nebula Purple)
   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM 850/900/1800/1900 MHz)
3G(WCDMA B1/B2/B4/B5/B8)
4G(FDD-LTE B1/B2/B3/B4/B5/B7/B8/B12/B17/B18/B19/B20/B26/B28/B66 | TD-LTE B38/B39/B40/B41)
5G(n1/n2/n3/n5/n7/n8/n20/n26/n28/n66/n38/n40/n41/n77/n78)

   ขนาด-น้ำหนัก                     ยาว 164.16 x กว้าง 74.93 x หนา 7.58 มม., น้ำหนัก 190 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)     256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด       -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ        ความจุแบตเตอรี่ 5,500 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                จอสัมผัส (AMOLED)
   ความละเอียด        6.78 นิ้ว, 452 ppi, 1,260 x 2,800 px

   รายละเอียดอื่น
อัตรารีเฟรช 60 Hz; 120 Hz
ความอิ่มตัวของสี 105% NTSC
วัสดุเปล่งแสง Q9
การสัมผัสหน้าจอ Capacitive multi-touch
ความสว่างสูงสุดเฉพาะส่วน 4500 nits
ขอบเขตสี 100% DCI-P3

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (50 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                             -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)           Snapdragon 7 Gen 3
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)             12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก             USB(Type-C 2.0), Bluetooth(5.4), NFC, Wi-Fi
   ระบบรับส่งข้อความ                   -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, WiFi, 4G, 5G

13
สุขภาพดี: เทคโนโลยี VR ในการรักษาทางการแพทย์ มิติใหม่ของการบรรเทาความเจ็บปวด

ความเป็นจริงเสมือนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบรรเทาความเจ็บปวดของผู้ป่วย การนำเทคโนโลยี VR มาใช้ในการรักษานั้นถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของวงการแพทย์ เพราะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวดไปสู่สภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่น่าสนใจแทน

เทคโนโลยีเสมือนจริงเป็นเทคโนโลยีที่สร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่เสมือนจริง ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสัมผัสกับโลกเสมือนจริงที่แตกต่างและผ่อนคลาย สำหรับผู้ที่กำลังเข้ารับการรักษาที่เจ็บปวดหรือต้องรับมือกับอาการปวดเรื้อรัง เทคโนโลยีนี้ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกม เทคโนโลยีเสมือนจริงทำงานโดยเบี่ยงเบนความสนใจของสมองและเปลี่ยนการรับรู้ความเจ็บปวด เมื่อผู้ป่วยจมอยู่ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ความสนใจของผู้ป่วยจะเปลี่ยนจากความเจ็บปวดที่ตนกำลังรู้สึกไปที่ประสบการณ์ในโลกเสมือนจริง ส่งผลให้การรับรู้ความเจ็บปวดลดลง เนื่องจากสมองมีความสามารถในการประมวลผลความเจ็บปวดและสิ่งเร้าที่กระตุ้นด้วย VR พร้อมกันน้อยลง

การประยุกต์ใช้ในการรักษาทางการแพทย์
การบรรเทาอาการปวดหลังการผ่าตัด : หลังการผ่าตัด อาการปวดมักได้รับการรักษาด้วยยา อย่างไรก็ตาม VR ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริม โดยช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาโอปิออยด์และยาอื่นๆ การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ใช้ VR หลังการผ่าตัดมีอาการปวดน้อยลงเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ใช้ยาแก้ปวดแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว

การรักษาบาดแผลไฟไหม้ : การรักษาบาดแผลไฟไหม้เป็นที่ทราบกันดีว่าเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างขั้นตอนการรักษาบาดแผล VR ได้รับการนำมาใช้อย่างประสบความสำเร็จในการให้ผู้ป่วยได้ดื่มด่ำกับสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายและโต้ตอบได้ในขณะที่รักษาบาดแผลไฟไหม้ ช่วยลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้อย่างมาก

การจัดการความเจ็บปวดเรื้อรัง : สำหรับผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากอาการปวดเรื้อรัง เช่น โรคไฟโบรไมอัลเจีย หรือโรคข้ออักเสบ VR ถือเป็นแนวทางใหม่ในการบรรเทาความเจ็บปวดในระยะยาว ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงสุขภาพจิตโดยรวมได้ด้วยการชมทิวทัศน์ VR ที่ผ่อนคลายหรือโปรแกรมการทำสมาธิแบบมีไกด์

การรักษามะเร็ง : เคมีบำบัดและการรักษามะเร็งอื่นๆ อาจทำให้เกิดความไม่สบายทางกายและความทุกข์ทางใจ VR กำลังถูกผสานเข้ากับการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ช่วยให้ผู้ป่วยหลีกหนีจากความเป็นจริงอันโหดร้ายของการรักษาได้ ประสบการณ์ที่ผ่อนคลายและดื่มด่ำนี้ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวดและความวิตกกังวลระหว่างการรักษาที่ยาวนาน

ประโยชน์ของการจัดการความเจ็บปวดด้วย VR
ไม่รุกราน : ไม่เหมือนเทคนิคการจัดการความเจ็บปวดอื่น ๆ การบำบัดด้วย VR ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือขั้นตอนการรุกราน ทำให้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับคนไข้จำนวนมาก
ลดการพึ่งพายา : โดยการใช้ VR เพื่อบรรเทาอาการปวด ผู้ป่วยสามารถลดการพึ่งพายาแก้ปวด โดยเฉพาะยาโอปิออยด์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงและความเสี่ยงต่อการติดยา

ประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้ : VR ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการแพทย์ปรับแต่งประสบการณ์ให้เหมาะกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นฉากชายหาดอันเงียบสงบ การทำสมาธิแบบมีไกด์ หรือเกมแบบโต้ตอบ สภาพแวดล้อมสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและเบี่ยงเบนความสนใจสูงสุด
แนวทางแบบองค์รวม : VR ไม่เพียงช่วยลดความเจ็บปวดทางกาย แต่ยังช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ทางอารมณ์โดยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทางการแพทย์อีกด้วย

อนาคตของ VR ในการดูแลสุขภาพ
ในขณะที่เทคโนโลยี VR ยังคงก้าวหน้าต่อไป การประยุกต์ใช้งานในด้านการดูแลสุขภาพก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นักวิจัยกำลังสำรวจการใช้ VR สำหรับการฟื้นฟูร่างกาย การบำบัดสุขภาพจิต และแม้แต่การฝึกผ่าตัด ด้วยการศึกษาวิจัยและการทดลองทางคลินิกอย่างต่อเนื่อง VR อาจกลายเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความเจ็บปวดในสาขาการแพทย์ต่างๆ ในไม่ช้านี้

เทคโนโลยี VR กำลังเปิดประตูสู่โลกการดูแลสุขภาพแห่งใหม่ด้วยการนำเสนอวิธีการใหม่ในการบรรเทาความเจ็บปวด ความสามารถในการทำให้ผู้ป่วยดื่มด่ำไปกับโลกเสมือนจริงไม่เพียงแต่ช่วยลดการรับรู้ความเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพแทนวิธีการจัดการความเจ็บปวดแบบเดิมอีกด้วย เมื่อเทคโนโลยีนี้ได้รับการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ทั้งผู้ป่วยและผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพต่างก็ตั้งตารออนาคตที่สามารถจัดการความเจ็บปวดได้ด้วยการใช้ยาที่น้อยลงและสภาพแวดล้อมการรักษาเสมือนจริงที่สมจริงมากขึ้น

14
คอนโดติดรถไฟฟ้า ดิ ออริจิ้น พหลโยธิน 57 (The Origin Phaholyothin 57)
เริ่มต้น 2.39 ลบ. 

ดิ ออริจิ้น พหลโยธิน 57 (The Origin Phaholyothin 57)
เตรียมพบกับโครงการใหม่ THE ORIGIN PHAHOLYOTHIN 57 PET FRIENDLY CONDO ที่สุดของการอยู่อาศัย มาพร้อมส่วนกลางที่มากกว่า เพียง 2 นาที* จาก BTS พหลโยธิน 59

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           ดิ ออริจิ้น พหลโยธิน 57 (The Origin Phaholyothin 57)
 เจ้าของโครงการ      ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
 แบรนด์ย่อย            ดิ ออริจิ้น
 ราคา                   เริ่มต้น 2.39 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                 คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด               Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี               1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี                 ตั้งแต่ 28.00 ถึง 34.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                 โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนตึก                     2 อาคาร
 จำนวนชั้น                     8 ชั้น
 จำนวนห้อง                  โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ที่จอดรถทั้งหมด            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค              สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, อื่นๆ (Lobby, Pet Lobby, Pet Club, Yoga room และ Lab Pool), Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน
 ที่ตั้ง
 
ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:                    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

15
หมอออนไลน์: โรคเชื้อราแคนดิดา (Candidiasis/Moniliasis)

โรคเชื้อราแคนดิดา พบได้ในบริเวณซอกผิวหนังที่มีเหงื่ออับชื้น ในช่องปาก และช่องคลอด

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบมากในเด็กอ่อน คนอ้วน ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ เบาหวาน เอดส์ มะเร็ง ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะหรือสเตียรอยด์นาน ๆ

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อแคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งมีอยู่ประจำถิ่นหรือเป็นปกติวิสัย (normal flora) ในร่างกาย เช่น ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอด ผิวหนัง เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น กินยาสเตียรอยด์ หรือยารักษามะเร็ง เป็นเบาหวาน เอดส์) หรือมีการเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นกรดด่าง (เช่น การกินยาปฏิชีวนะ การตั้งครรภ์) ก็จะทำให้เชื้อราชนิดนี้เจริญจนเกิดเป็นโรคขึ้นได้


อาการ

ช่องปาก พบเป็นฝ้าขาวที่ลิ้น หรือตามเยื่อเมือกในช่องปาก
   
ช่องคลอด มีอาการตกขาว คัน

     ผิวหนัง พบมากบริเวณซอกผิวหนังที่มีเหงื่ออับชื้น เช่น ซอกรักแร้ ขาหนีบ ใต้ราวนม สะดือ ซอกสะโพก ง่ามนิ้ว เป็นต้น ลักษณะเป็นรอยแดงแบบหนังถลอก มีขอบเขตชัดเจน รอบ ๆ จะมีผื่นแดงเล็ก ๆ กระจายตัวอยู่ อาจมีอาการคันร่วมด้วย

โรคเชื้อราแคนดิดาที่พบตามซอกผิวหนังนี้มีชื่อเรียกว่า "Intertriginous candidosis"

เล็บ โรคเชื้อราแคนดิดาที่เล็บ (candida paronychia หรือ onychomycosis) พบในผู้ที่ต้องใช้มือแช่น้ำหรือเปียกน้ำอยู่เสมอ หรือในผู้ป่วยเบาหวาน แรกเริ่มจะมีอาการบวมแดงที่ขอบเล็บ กดเจ็บ พบได้มากกว่า 1 นิ้วพร้อมกัน บางครั้งกดดูจะมีหนองออกจากใต้เล็บ เนื่องจากมีการติดเชื้อจากแบคทีเรียแทรกซ้อน เมื่อปล่อยให้เป็นเรื้อรังเล็บส่วนปลายจะแยกจากเนื้อเยื่อใต้เล็บ (เรียกว่า onycholysis) และบริเวณใต้เล็บจะเห็นเป็นสีขาวหรือเหลือง ต่อมาเล็บจะเสียและเปลี่ยนรูปร่าง มีร่องขวางลักษณะขรุขระที่ตัวเล็บ แต่เล็บไม่ผุหรือกร่อนแบบโรคกลากที่เล็บ


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

ผู้ป่วยเอดส์และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยมะเร็งหรือได้เคมีบำบัด) เชื้อราอาจลุกลามจากช่องปากลงไปที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาจแพร่กระจาย ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะอื่น ๆ ทั่วร่างกาย เช่น หลอดอาหารอักเสบ กระเพราะอาหารอักเสบ ปอดอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ตับอักเสบ ม้ามอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ จอตาอักเสบ เป็นต้น

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ หากไม่แน่ใจหรือรักษาแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะทำการส่งต่อเพื่อตรวจเพิ่มเติม โดยการขูดเอาผิวหนังหรือเล็บส่วนนั้นใส่น้ำยาโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ชนิด 10% แล้วนำไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าเป็นที่ซอกผิวหนัง หรือขอบเล็บ ทาด้วยครีมรักษาโรคเชื้อรา (เช่น โคลไตรมาโซล คีโทโคนาโซล) วันละ 2 ครั้ง นาน 2 สัปดาห์ ควรรักษาบริเวณนั้นให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ

2. ถ้าเล็บแยก ควรตัดเล็บส่วนนั้นออก แล้วใช้ยาทาตรงเล็บและเนื้อเยื่อใต้เล็บ

3. ถ้าไม่ได้ผล ให้กินยาฆ่าเชื้อรา (เช่น ไอทราโคนาโซล, ฟลูโคนาโซล) นาน 2-6 สัปดาห์

4. ในรายที่เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ อาจมีภาวะผิดปกติของร่างกายอื่น ๆ (เช่น เอดส์ เบาหวาน)

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีผื่นรอยแดงแบบหนังถลอกบริเวณซอกผิวหนังที่มีเหงื่ออับชื้น (เช่น ซอกรักแร้ ขาหนีบ ใต้ราวนม สะดือ ซอกสะโพก ง่ามนิ้ว เป็นต้น หรือมีอาการบวมแดงที่ขอบเล็บและกดเจ็บ หรือมีอาการตกขาวและคัน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเชื้อราแคนดิดา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยารักษาเชื้อรา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1 สัปดาห์
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. พยายามทำความสะอาดซอกผิวหนัง อย่าให้มีเหงื่ออับชื้น และหลับอาบน้ำควรซับบริเวณซอกผิวหนังให้แห้ง และใช้แป้งโรย

2. อย่ากินยาปฏิชีวนะติดต่อกันนาน ๆ

3. ถ้าเป็นเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ


ข้อแนะนำ

1. โรคเชื้อราแคนดิดาอาจพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เบาหวาน หรือกินยารักษามะเร็งเป็นประจำ เป็นต้น ถ้าพบผู้ที่เป็นโรคเชื้อราแคนดิดาเรื้อรัง ควรค้นหาสาเหตุและแก้ไข

2. หลีกเลี่ยงการซื้อยาครีมสเตียรอยด์ (แก้แพ้แก้คัน) หรือยาอื่นที่ไม่ใช่ยารักษาเชื้อราที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำมาใช้เอง เนื่องเพราะครีมสเตียรอยด์อาจทำให้โรคลุกลามได้ ส่วนยาน้ำที่ทาแล้วที่รู้สึกแสบ ๆ อาจทำให้ผิวหนังไหม้และอักเสบได้

3.หากสงสัยโรคเชื้อราแคนดิดาที่เล็บ (ขอบเล็บแดง กดเจ็บ เล็บส่วนปลายแยกจากเนื้อเยื่อใต้เล็บ) ลองให้ยารักษาโรคเชื้อราแล้วไม่ได้ผล ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคโซริอาซิส

หน้า: [1] 2 3 ... 41