แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 61
1
จัดฟันบางนา: วิธีรักษา “ฟันห่าง” แบบไหนเหมาะสมกับคุณ ?

หลายๆคนที่กำลังประสบกับปัญหาเกิดช่องว่างระหว่างฟัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ฟันห่าง” ซึ่งทำให้เสียความมั่นใจ เสียบุคลิก กระทบต่อหน้าที่การงานและชีวิตประจำวัน จนสุดท้ายต้องเข้าพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการรักษา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะคิดว่าวิธีรักษาฟันห่างนั้นมีแค่วิธีเดียวก็คือการจัดฟัน ซึ่งในยุคสมัยนี้ที่นวัตกรรมทางทันตกรรมก้าวหน้าเป็นอย่างมาก จึงทำให้มีมากมายหลายวิธีในการช่วยให้ฟันเรียวตัวเข้าที่อย่างสวยงามโดยไม่ทำการจัดฟัน โดยแต่ละวิธีนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป

ซึ่งในวันนี้จะขอพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับวิธีรักษาฟันเกิดช่องว่าง ด้วยวิธีต่างๆ รวมถึงข้อดีและข้อเสียให้ได้ตัดสินใจกันอย่างถูกต้อง และเหมาะสม ดังต่อไปนี้

ข้อดี-ข้อเสีย วิธีรักษาฟันห่างแบบต่างๆ

1.    อุดฟัน เพื่อปิดช่องว่างระหว่างฟัน

วิธีนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมกันอย่างมาก โดยทางด้านทันตแพทย์จะใช้วัสดุอุดฟันที่มีสีเหมือนกับฟัน อุดเตริมเต็มฟันแต่ละซี่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจนฟันชิดติดกัน ซึ่งวิธีนี้จะไม่จำเป็นต้องทำการกรอฟัน หรืออาจจะมีการกรอบ้างเล็กน้อยเพื่อตกแต่ง และเคลือบฟันเพื่อลดความนูนของสันฟัน เพื่อให้เกิดความสวยงามดูดีสมดุลของฟันทั้ง 2 ซี่ ซึ่งวิธีการนี้จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30 – 45 นาที สามารถทำเสร็จได้ในครั้งเดียว เหมือนอุดฟันทั่วไป

ข้อดี – มีราคาที่ถูก และใช้เวลาในการรักษาไม่นาน ไม่ต้องเสียเวลางานมาหาทันตแพทย์หลายรอบ ไม่เจ็บปวด แถมมีความสวยงามเหมือนฟันตามธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่ต้องทำการกรอฟันให้เสียหน้าฟันโดยใช่เหตุ และสามารถรื้อออกได้โดยที่ฟันไม่เสียหาย

ข้อเสีย – เมื่อทำแล้วต้องระมัดระวังอย่างสูงเวลากัดแทะสิ่งของหรืออาหารที่แข็งด้วยฟันหน้า เพราะ มีโอกาสที่จะเกิดการบิ่นหรือแตกหักได้ และเรื่องความสะอาดยิ่งจำเป็นต้องดูแลให้ดี เพราะ เศษอาหารจะเข้าไปติดในซอกฟันและทำความสะอาดได้ยาก

 
2.   เคลือบฟันเทียม

การรักษาช่องว่างระหว่างฟันด้วยวิธีนี้สิ่งแรกที่ทันตแพทย์จะทำก็คือการกรอฟันออกเล็กน้อย และจึงเริ่มทำการพิมพ์ฟันซึ่งจะนำไปทำเคลือบฟันเทียม ซึ่งเคลือบฟันเทียมนี้โดยส่วนใหญ่จะผลิตจาก พอร์ซเลน ซึ่งมีความใส สีเหมือนฟันมาก เมื่อทำการปั๊มแบบเรียบร้อยทันตแพทย์จะนัดวันใส่เคลือบฟันเทียมอีกทีหนึ่ง โดยการติดแผ่นเคลือบฟันเทียมเข้าไปที่ฟันแท้ ปกปิดช่องว่างของฟันได้อย่างแนบเนียน

ข้อดี – มีความสวยงาม สีเหมือนฟันจริง และที่สำคัญคือสีไม่เปลี่ยนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน อีกทั้งยังสามารถปรับรูปฟันเล็กๆน้อยๆให้เรียงตัวกันแน่นขึ้นและดูสวยเป็นธรรมชาติได้อีกด้วย

ข้อเสีย – การทำเคลือบฟันเทียมนั้น ต้องทำโดยทันตแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะ การทำเคลือบฟันเทียมมีความละเอียดอ่อนสูง หากว่าทำไม่ดีอาจจะทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ หรืออาจจะมีช่องว่าให้แบคทีเรียเข้าไปสะสมไม่สามารถทำความสะอาดได้จนก่อให้เกิดฟันผุ


3.    จัดฟัน เพื่อแก้ไขช่องฟันห่าง

อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่า การจัดฟันนั้น คือการแก้ไขความไม่สมดุลจากการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติให้กลับสู่สภาวะปกติ ซึ่งจะใช้เครื่องมือจากภายนอกและภายในเป็นตัวกำหนดทิศทางของการเรียงตัวของฟัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการปรับแต่งโครงสร้างของฟันใหม่ และ กระดูกที่ล้อมรอบบริเวณรากฟันจะถูกละลายและเสริมสร้างโครงสร้างของกระดูกใหม่แบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีการรักษาช่องฟันห่างที่เป็นที่นิยมที่สุดเลยก็ว่าได้

ข้อดี – ฟันนั้นจะกลับมาเรียงตัวสวยงามตามธรรมชาติ อย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไป

ข้อเสีย – มีราคาค่อนข้างแพง เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา และต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาฟันล้มฟันเกได้ และด้วยความที่มีอุปกรณ์ติดไว้ที่ช่องปาก ทำให้มีโอกาสเกิดการสะสมของเชื้อโรคต่างๆได้ง่ายหากไม่ได้รับการดูแลความสะอาดที่ดีพอ

2
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
เลือกผ้ากันไฟเหมาะกับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ 

การเลือก ผ้ากันไฟ ให้เหมาะสมกับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและคุณสมบัติการป้องกันอัคคีภัยที่ตรงตามความต้องการจริง ไม่ใช่แค่การเลือกผ้าที่ "ทนไฟ" แต่ต้องเข้าใจถึงคุณสมบัติเฉพาะของผ้าแต่ละชนิด และลักษณะของงานที่คุณต้องการนำไปใช้ นี่คือแนวทางในการเลือกผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับงานของคุณค่ะ

1. ระบุประเภทของงานและสภาพแวดล้อมการใช้งาน
สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือทำความเข้าใจว่าคุณจะใช้ผ้ากันไฟสำหรับอะไร และสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร:

ป้องกันเปลวไฟโดยตรง / ประกายไฟ / สะเก็ดไฟร้อน: เช่น งานเชื่อม ตัดโลหะ งานที่มีประกายไฟกระเด็น

เป็นฉากกั้นความร้อน / ม่านกันไฟ: ใช้แบ่งโซนพื้นที่เพื่อชะลอการลุกลามของไฟ หรือกั้นความร้อนจากแหล่งกำเนิด

หุ้มฉนวนอุปกรณ์ / ท่อที่ร้อนจัด: ต้องการหุ้มเครื่องจักร เตาอบ หรือท่อไอน้ำที่มีอุณหภูมิสูงมาก

ผ้าห่มดับเพลิง / อุปกรณ์ดับเพลิงเบื้องต้น: สำหรับคลุมไฟขนาดเล็กเพื่อดับไฟ

การใช้งานกลางแจ้ง / สัมผัสสารเคมี: ต้องการคุณสมบัติกันน้ำ ทน UV หรือทนสารเคมี

พื้นที่ปิด / มีคนทำงานใกล้ชิด: ต้องการผ้าที่ไม่ฟุ้งกระจาย ไม่มีใยแก้วที่ทำให้ระคายเคือง


2. กำหนดช่วงอุณหภูมิที่ผ้าต้องทนได้
นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกวัสดุ:

อุณหภูมิใช้งานต่อเนื่อง (Continuous Operating Temperature): อุณหภูมิสูงสุดที่ผ้าสามารถทนได้ตลอดเวลาโดยไม่เสื่อมสภาพ

อุณหภูมิสูงสุดชั่วคราว (Peak/Intermittent Temperature): อุณหภูมิสูงสุดที่ผ้าสามารถทนได้เป็นเวลาสั้นๆ หรือเมื่อเกิดเปลวไฟปะทะโดยตรง

ตัวอย่างการเลือกตามอุณหภูมิ:

งานทั่วไป / ประกายไฟเล็กน้อย (ไม่เกิน 550°C - 750°C): ผ้าใยแก้ว (Fiberglass Fabric) ถือเป็นตัวเลือกที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ

งานอุณหภูมิสูงมาก / เปลวไฟโดยตรง (750°C - 1000°C): พิจารณา ผ้าใยแก้วพิเศษ หรือ ผ้าซิลิก้า (Silica Fabric)

งานอุณหภูมิสูงจัด / เตาหลอม / ป้องกันความร้อนรุนแรง (1000°C - 1200°C+): ต้องใช้ ผ้าใยเซรามิก (Ceramic Fiber Fabric)


3. พิจารณาคุณสมบัติเพิ่มเติมและสารเคลือบ
ผ้ากันไฟหลายชนิดมีการเคลือบสารเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:

ผ้าใยแก้วเคลือบซิลิโคน (Silicone Coated Fiberglass Fabric):

ข้อดี: เพิ่มความทนทานต่อการขูดขีด, กันน้ำ, ทนต่อสารเคมีบางชนิด, ป้องกันการฟุ้งกระจายของเส้นใย, ทำความสะอาดง่าย, มีสีสันให้เลือก

เหมาะสำหรับ: ผ้าม่านกันประกายไฟ, หุ้มท่อ/อุปกรณ์, ใช้ในพื้นที่ที่มีคนทำงานใกล้ชิด

ผ้าใยแก้วเคลือบเวอร์มิคูไลต์ (Vermiculite Coated Fiberglass Fabric):

ข้อดี: เพิ่มคุณสมบัติการทนความร้อนและการไม่ลามไฟให้สูงขึ้น, ทนทานต่อการเสียดสีได้ดี

เหมาะสำหรับ: งานเชื่อมหนัก, ผ้าม่านกันไฟ, ป้องกันการทะลุผ่านของเปลวไฟ

ผ้าใยแก้วเคลือบ PU (Polyurethane Coated Fiberglass Fabric):

ข้อดี: เพิ่มความแข็งแรง, ทนทานต่อการขูดขีดและน้ำมัน, ยืดหยุ่นได้ดี

เหมาะสำหรับ: ผ้าม่านกันประกายไฟ, ปลอกหุ้มสายไฟ/สายไฮดรอลิก

ผ้าใยแก้วแบบไม่มีการเคลือบ (Plain Fiberglass Fabric):

ข้อดี: ราคาประหยัด, ทนอุณหภูมิสูงได้ดี (ตามเกรดใยแก้ว), เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องการคุณสมบัติพิเศษ

ข้อควรพิจารณา: อาจมีเส้นใยฟุ้งกระจาย ทำให้ระคายเคืองผิวหนัง


4. ตรวจสอบมาตรฐานการรับรองและผลการทดสอบ
เพื่อความมั่นใจในประสิทธิภาพของผ้ากันไฟ ควรตรวจสอบการรับรองจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ:

มาตรฐานการทนไฟ (Fire Retardancy Standard): เช่น NFPA 701, ASTM E84 (UL 723) สำหรับดัชนีการลามไฟและการเกิดควัน, EN ISO 15025

รายงานผลการทดสอบ (Test Reports): ผู้ผลิตควรมีเอกสารรับรองจากห้องปฏิบัติการอิสระ ที่ระบุคุณสมบัติการทนอุณหภูมิ คุณสมบัติการไม่ลามไฟ และอื่นๆ


5. พิจารณาความหนาและน้ำหนักของผ้า
ความหนา (Thickness): ผ้าที่หนากว่ามักจะให้การป้องกันที่ดีกว่าและทนทานกว่า

น้ำหนัก (Weight/Density - gsm): ค่า gsm ที่สูงขึ้นบ่งบอกถึงความหนาแน่นและปริมาณใยแก้ว/เส้นใยที่มากขึ้น ซึ่งมักจะสัมพันธ์กับความทนทานและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น


6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและขอตัวอย่าง
หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่มีความเชี่ยวชาญด้านผ้ากันไฟโดยตรง เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับงานของคุณ

หากเป็นไปได้ ลองขอตัวอย่างผ้ามาทดสอบด้วยตัวเองในสภาพแวดล้อมจำลอง (อย่างระมัดระวัง) เพื่อดูประสิทธิภาพจริง


สรุปการเลือกผ้ากันไฟอย่างมีประสิทธิภาพ:

การเลือกผ้ากันไฟที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับการใช้งานจริง ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้ง ประเภทของวัสดุ (ตามอุณหภูมิที่ทนได้), คุณสมบัติการไม่ลามไฟและการรับรองมาตรฐาน, สารเคลือบและคุณสมบัติเสริม ที่จำเป็นสำหรับสภาพแวดล้อมของคุณ และ ความหนา/น้ำหนัก ของผ้า การลงทุนในผ้ากันไฟที่ถูกต้อง จะนำมาซึ่งความปลอดภัยที่คุ้มค่าในระยะยาวค่ะ

คุณต้องการผ้ากันไฟสำหรับงานประเภทไหนเป็นพิเศษไหมครับ ผมจะได้ช่วยแนะนำประเภทที่เฉพาะเจาะจงให้ได้?

5
บริการทำความสะอาด: วิธีล้างห้องน้ำ เปลี่ยนห้องน้ำที่สกปรกให้สะอาดเหมือนใหม่

ห้องน้ำ สกปรก ไม่น่าใช้งาน เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่หลาย ๆ บ้านต้องเผชิญ เพราะนอกจากจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่สวยงาม ไม่น่ามองแล้ว ยังเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีของเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และเชื้อโรคอื่น ๆ ที่มองไม่เห็นด้วย ซึ่งอาจส่งผลที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัวได้จึงมี 7 วิธีล้างห้องน้ำสกปรกมาก มาช่วยแก้ปัญหานี้ให้กับทุกคนกัน

 วิธีล้างห้องน้ำ ให้สะอาดทั่วทุกมุมใน 7 ขั้นตอน

1. ทำความสะอาดโซนเปียก

สำหรับ ห้องน้ำ ที่มีการแบ่งโซนเปียกและโซนแห้ง จะต้องรู้ถึงวิธีการทำความสะอาดทั้ง 2 โซนอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะได้กำจัดคราบสกปรกออกได้อย่างหมดจด โดยสำหรับโซนเปียกที่ใช้อาบน้ำนั้นมักจะมีคราบสบู่ คราบไขมัน เส้นผม รวมไปถึงความชื้นสะสมอยู่ตามก๊อกน้ำและฝักบัว ทำให้ห้องน้ำสกปรกไม่น่าใช้งาน เป็นที่อยู่ของเชื้อรา ราดำและเชื้อโรคประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ใช้งานได้

ฉีดน้ำยาทำความสะอาด

วิธีทำความสะอาด ห้องน้ำ ก็เริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำยาทำความสะอาดที่ไม่มีฤทธิ์เป็นกรดทำลายพื้นผิว หรือใช้น้ำสบู่ใส่ขวดสเปรย์ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณชั้นวาง ราวจับ ก๊อกน้ำ และอุปกรณ์อื่น ๆ ก่อนจะใช้ฟองน้ำขัดถูคราบสกปรกตามบริเวณต่าง ๆ  แล้วจึงใช้น้ำล้างให้สะอาด จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดพื้นผิวให้แห้งเพื่อป้องกันความชื้นสะสม และหากคุณอยากมั่นใจว่าทุกครั้งที่อาบน้ำคุณจะได้ใช้น้ำที่สะอาด ก็ควรที่จะทำความสะอาดหัวฟักบัวซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถทำได้โดยการนำน้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำเปล่าใส่ถุงพลาสติก แล้วนำมาครอบไว้ที่หัวฟักบัว โดยใช้หนังยางมัดเอาไว้ จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที และเมื่อครบเวลาที่กำหนดให้แกะถุงออกแล้วเปิดน้ำด้วยความแรงสูงสุด เพื่อไล่สิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ในหัวฝักบัวให้ออกมาให้หมด

เพื่อให้คุณมีความสุขกับการอาบน้ำได้มากกว่าที่เคย การเลือกใช้ฝักบัวที่มาพร้อมกับสายน้ำหลากหลายรูปแบบก็จะทำให้คุณเพลิดเพลินกับการอาบน้ำได้มากยิ่งขึ้น โดยอาจเลือกใช้เป็นฝักบัวสายอ่อน หรือฝักบัวก้านแข็ง ที่มีเทคโนโลยี WARM SPA ปล่อยสายน้ำเป็นลำน้ำอบอุ่นไหลทั่วผิวกาย และช่วยลดการกระเซ็น หรือเทคโนโลยี COMFORT WAVE ที่ช่วยมอบสัมผัสของสายน้ำชุ่มฉ่ำ พร้อมช่วยกระตุ้นหนังศีรษะ ก็จะสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ สำหรับท่านใดที่มีความกังวลเกี่ยวกับการประหยัดน้ำ สามารถเลือกใช้เป็นฝักบัวที่มีเทคโนโลยี AERIAL SHOWER ได้ เพราะจะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้มากกว่า 35% หรือใช้น้ำเพียง 6.5 ลิตรต่อนาทีเท่านั้น (เมื่อเทียบกับฝักบัวทั่วไปที่ใช้น้ำประมาณ 10 ลิตรต่อนาที) เนื่องจากเป็นระบบที่ดึงอากาศเข้ามาผสมกับน้ำ ให้คุณสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลของสายน้ำ โดยใช้น้ำน้อยลงอีกด้วย

 2. ทำความสะอาดผนัง เพดาน

บริเวณผนัง ห้องน้ำ เป็นอีกหนึ่งจุดที่มักมีคราบสบู่ คราบไขมัน รวมถึงฝุ่น ละอองต่าง ๆ มาเกาะติดอยู่เป็นประจำ สำหรับวิธีการทำความสะอาดบริเวณผนังนั้นสามารถทำได้โดยการฉีดพ่นน้ำอุ่นให้ทั่วผนัง จากนั้นใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือฟองน้ำชุบน้ำสบู่ หรือน้ำยาทำความสะอาดที่เจือจางแล้วมาเช็ดเบา ๆ เพื่อกำจัดคราบ หลังจากนั้นจึงล้างด้วยน้ำเย็นอีกครั้งเพื่อเป็นการลดอุณหภูมิของพื้นผิว และอย่าลืมใช้ผ้าแห้ง หรือไม้รีดน้ำมาเช็ดผนังให้แห้งดีเพื่อป้องกันการสะสมของความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของเชื้อรา

ส่วนบริเวณเพดานของห้องน้ำก็สามารถใช้ไม้กวาด หรืออุปกรณ์ปัดฝุ่นปัดเช็ดให้ฝุ่นตกลงมาด้านล่างก่อนจะทำความสะอาดพื้นได้เลย ที่สำคัญคือไม่ควรใช้น้ำฉีดขึ้นไปด้านบน เพราะจะทำให้มีความชื้นที่ฝ้ามากเกินไป และอาจทำให้ฝ้าเพดานเสียหายได้

 3. ทำความสะอาดคราบสกปรกบนอ่างล้างหน้า

อ่างล้างหน้าเป็นอีกจุดที่พบคราบสกปรกได้บ่อยใน ห้องน้ำ เพราะเป็นจุดที่ต้องใช้งานทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้า แปรงฟัน รวมถึงการล้างมือทุกครั้งหลังทำธุระส่วนตัว ทำให้เกิดความสกปรกขึ้นได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นคราบหินปูน คราบตะกอนที่เกาะอยู่ตามก๊อกน้ำหรือท่อระบายน้ำที่อ่างล้างมือ โดยวิธีการทำความสะอาดอ่างล้างหน้านั้นก็ไม่ยากเลย โดยเฉพาะอ่างล้างหน้าที่มีสารเคลือบเรียบลื่นพิเศษก็สามารถล้างแล้วเช็ดคราบออกโดยง่ายด้วยการใช้น้ำยาล้างจาน เพื่อไม่ให้สารเคลือบหลุดล่อน หรือเสื่อมอายุการใช้งานเร็ว

แต่สำหรับอ่างล้างหน้าทั่วไปหากไม่ได้มีคราบหนาแน่นมากนัก ขอแนะนำให้ใช้แปรงสีฟันเก่า ๆ ขัดรอบ ๆ ก๊อกน้ำด้วยน้ำสะอาด หรือจะใช้น้ำยาสเปรย์ฉีดพ่นเครื่องสุขภัณฑ์ก็ได้ แต่อ่างล้างหน้าที่มีหินปูนเกาะอยู่อย่างแน่นหนา ควรใช้น้ำยาขจัดหินปูนหรือผงคลอรีนสำหรับฆ่าเชื้อ นำมาละลายน้ำให้เจือจางแล้วราดทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงค่อย ๆ แซะคราบหินปูนออกเบา ๆ ก็จะช่วยกำจัดคราบหินปูนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่ใช่เพียงบริเวณด้านบนอ่างล้างหน้าเท่านั้น แต่ต้องทำความสะอาดภายในท่อด้วย โดยอาจใช้ส่วนผสมของน้ำส้มสายชูกับเบกกิ้งโซดา เทลงในท่อระบายน้ำอ่างล้างมือ จากนั้นจึงเทน้ำร้อนตามลงไป เพื่อกำจัดคราบไขมัน และคราบสกปรกที่ติดค้างอยู่ในท่อระบายน้ำ ช่วยให้ระบายน้ำทิ้งได้ดีขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยป้องกันปัญหาอ่างล้างหน้าตัน และลดปัญหากลิ่นจากท่อน้ำได้อีกด้วย

 4. ทำความสะอาดคราบเหลืองตามโถสุขภัณฑ์

สำหรับขั้นตอนที่ห้ามละเลยโดยเด็ดขาดเมื่อล้าง ห้องน้ำ ที่สกปรกมากก็คือ การทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ เพราะหากไม่ได้ทำความสะอาดนาน ๆ ก็อาจเกิดคราบเหลืองและคราบสกปรกบนโถสุขภัณฑ์ได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นภาพที่ไม่น่ามองแล้วยังเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคอีกด้วย จึงควรทำความสะอาดด้วยการเทน้ำยาทำความสะอาดทิ้งไว้สักพัก แล้วใช้แปรงขัดทำความสะอาดให้ครบทุกซอกมุม โดยอย่าลืมทำความสะอาดตามมุมอับต่าง ๆ ของบริเวณขอบโถด้วย จากนั้นให้ปิดฝาโถสุขภัณฑ์ก่อนกดชำระล้าง เพื่อป้องกันสารเคมีกระเซ็นออกจากตัวโถ

 5. ทำความสะอาดร่องยาแนวและคราบขาวบนพื้น

เมื่อทำความสะอาดสุขภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งโถชักโครก อ่างล้างหน้า และฝักบัวไปแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้คนทำความสะอาด ห้องน้ำ ต้องเหนื่อยก็คือ บริเวณพื้นห้องน้ำที่มักมีคราบขาวและร่องยาแนวที่มักมีเชื้อราดำเกาะอยู่ ถึงแม้จะดูเป็นปัญหาที่แก้ได้ยาก แต่หากเลือกใช้วิธีล้างห้องน้ำที่เหมาะสมก็จะสามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย อย่างการใช้ส่วนผสมของน้ำส้มสายชู และเบกกิ้งโซดาก็สามารถทำความสะอาดพื้นให้กลับมาเหมือนใหม่ได้ง่าย ๆ แล้ว สำหรับวิธีทำก็คือ เพียงแค่นำน้ำส้มสายชูผสมเบกกิ้งโซดาราดลงบนพื้นเปียก จากนั้นทิ้งไว้สักพักหนึ่ง แล้วใช้แปรงขัดลงบนคราบสกปรก โดยอาจเลือกใช้แปรงขนาดเล็กอย่างแปรงสีฟันเก่า หรือแปรงทำความสะอาด มาขัดตามร่องยาแนวเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า จากนั้นจึงล้างพื้นด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งแล้วใช้ไม้รีดน้ำกวาดน้ำออกให้หมดเพื่อป้องกันความชื้นสะสม

 6. อย่ามองข้ามระบบระบายอากาศ

เนื่องจากพัดลมดูดอากาศนั้นต้องสัมผัสกับความชื้นใน ห้องน้ำ เศษฝุ่นสิ่งสกปรกและคราบไขมันเป็นประจำ เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ก็จะทำให้เกิดคราบสกปรกเกาะติดอยู่ที่พัดลมดูดอากาศได้ ซึ่งอาจทำให้พัดลมเกิดเสียงดังและอาจเสียหายได้ในอนาคต ดังนั้นการทำความสะอาดพัดลมดูดอากาศแบบติดผนังหรือแบบติดเพดานบ้าง ก็ถือว่าเป็นการทำความสะอาดที่ควรจะทำควบคู่กันไปด้วย โดยการถอดฝาปิดใบพัดออก แล้วนำใบพัดของพัดลมดูดอากาศออกมาเช็ดทำความสะอาด รวมถึงการเช็ดทำความสะอาดฝาปิดและภายในพัดลมด้วย ก็จะช่วยลดการสะสมของฝุ่น และคราบสกปรกได้เป็นอย่างดี

 7. เช็ดกระจกและพื้นที่อื่น ๆ ให้เรียบร้อย

ต้องยอมรับว่าความสะอาดของกระจกนั้นเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนมาก ๆ และเมื่อกระจกสะอาด ก็จะทำให้ ห้องน้ำ ทั้งห้องดูสะอาดและน่าใช้ตามไปด้วย ดังนั้น การทำความสะอาดกระจกจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำ เพื่อเป็นการกำจัดทั้งคราบยาสีฟัน คราบสบู่ ไปจนถึงฝ้าจากไอน้ำที่เกาะบนกระจกออกไป โดยอาจใช้วิธีการเช็ดกระจก ด้วยน้ำยาเช็ดกระจก น้ำยาล้างจาน หรือจะใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดก็ได้เช่นกัน ซึ่งนอกจากกระจกแล้ว ก็อย่าลืมเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ของใช้ต่าง ๆ ภายในห้องน้ำเช่น ชั้นวางของ ที่วางสบู่ แก้วใส่แปรงสีฟัน และขวดของใช้ต่าง ๆ ให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันความชื้นสะสมจนเกิดเป็นคราบราดำด้วย

6
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ฟันเหลืองดำ และ ฟันตกกระ

ฟันเหลืองดำ และ ฟันตกกระ เป็นภาวะที่สีของฟันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสีขาวธรรมชาติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุและมีลักษณะที่แตกต่างกันครับ แม้ทั้งสองภาวะจะเกี่ยวกับสีฟัน แต่สาเหตุและแนวทางการดูแลก็ต่างกันออกไป

ฟันเหลืองดำ (Tooth Discoloration / Staining)
ฟันเหลืองดำ คือภาวะที่สีฟันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม สีน้ำตาล หรือสีดำคล้ำ ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งที่ผิวเคลือบฟัน (ภายนอก) หรือโครงสร้างภายในฟัน (ภายใน)

สาเหตุของฟันเหลืองดำ

คราบสีติดภายนอก (Extrinsic Stains):
เกิดจากการสะสมของเม็ดสีจากอาหาร เครื่องดื่ม และสารต่างๆ บนผิวเคลือบฟัน ซึ่งมักเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดและแก้ไขได้ง่ายที่สุด:

อาหารและเครื่องดื่ม: ชา, กาแฟ, ไวน์แดง, โคล่า, น้ำผลไม้สีเข้ม (เช่น น้ำองุ่น, น้ำทับทิม), ซอสปรุงรส (ซีอิ๊ว, ซอสมะเขือเทศ), ผักผลไม้สีเข้มบางชนิด (บลูเบอร์รี่)

การสูบบุหรี่/ยาเส้น: นิโคตินและสารทาร์ในบุหรี่ทำให้เกิดคราบสีน้ำตาลดำติดแน่นบนผิวฟัน

สุขอนามัยช่องปากไม่ดี: การแปรงฟันไม่สะอาด ทำให้มีคราบจุลินทรีย์ (Plaque) สะสม ซึ่งเป็นที่เกาะของคราบสีต่างๆ ได้ง่าย

ยาบางชนิด: ยาน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ Chlorhexidine หรืออาหารเสริมธาตุเหล็ก

อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น ชั้นเคลือบฟันจะบางลง ทำให้สีเหลืองของเนื้อฟัน (Dentin) ที่อยู่ด้านในปรากฏชัดเจนขึ้น

การเปลี่ยนสีจากภายในฟัน (Intrinsic Stains):

เกิดจากการที่สีฟันเปลี่ยนจากโครงสร้างภายในของเนื้อฟัน ซึ่งอาจเกิดจาก:

ยาปฏิชีวนะบางชนิด: โดยเฉพาะยา Tetracycline หรือ Doxycycline ที่รับประทานในช่วงที่ฟันกำลังพัฒนา (ในเด็กเล็ก หรือหญิงตั้งครรภ์) จะทำให้ฟันมีสีเหลือง น้ำตาล หรือเทาเป็นแถบๆ อย่างถาวร

ฟันตาย/ฟันผุ: ฟันที่ได้รับการกระทบกระเทือนหรือฟันผุที่ไม่ได้รับการรักษา ทำให้เส้นประสาทและหลอดเลือดในโพรงประสาทฟันตาย เลือดที่แตกในโพรงประสาทฟันจะสลายตัวและทำให้ฟันมีสีดำคล้ำ

ฟันที่ได้รับการอุดด้วยวัสดุบางชนิด: เช่น วัสดุอุดฟันสีเงิน (Amalgam) ที่ใช้มานาน อาจทำให้ฟันรอบๆ มีสีเทาคล้ำได้

ฟันตกกระ (Fluorosis): เกิดจากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปในช่วงฟันกำลังพัฒนา (จะอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป)

โรคทางพันธุกรรมบางชนิด: เช่น Amelogenesis Imperfecta หรือ Dentinogenesis Imperfecta ซึ่งส่งผลต่อการสร้างเคลือบฟันหรือเนื้อฟัน ทำให้สีฟันผิดปกติ

แนวทางการรักษาฟันเหลืองดำ

คราบสีภายนอก:

ขูดหินปูนและขัดฟัน: โดยทันตแพทย์ จะช่วยขจัดคราบสะสมบนผิวฟันได้ดี

การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening/Bleaching): ใช้สารฟอกสีฟันที่มีส่วนผสมของ Hydrogen Peroxide หรือ Carbamide Peroxide เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น สามารถทำได้ทั้งที่คลินิกหรือที่บ้านภายใต้การดูแลของทันตแพทย์

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: ลดการดื่มชา กาแฟ ไวน์แดง หรือบ้วนปาก/แปรงฟันหลังดื่ม/ทานอาหารที่มีสีเข้ม และงดสูบบุหรี่

การเปลี่ยนสีจากภายในฟัน:

การฟอกสีฟัน (บางกรณี): หากการเปลี่ยนสีไม่รุนแรงมาก การฟอกสีฟันอาจช่วยให้สีจางลงได้บ้าง

การทำวีเนียร์ (Veneer): เป็นการแปะวัสดุบางๆ ที่ทำจากพอร์ซเลนหรือคอมโพสิตบนผิวหน้าฟันเพื่อปกปิดสีฟันเดิม

การครอบฟัน (Crown): ในกรณีที่สีฟันคล้ำมาก หรือมีการทำลายเนื้อฟันร่วมด้วย การครอบฟันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฟันตกกระ (Dental Fluorosis)
ฟันตกกระ คือความผิดปกติของสีฟันที่เกิดจากการได้รับ ฟลูออไรด์ (Fluoride) ในปริมาณที่มากเกินไป ในช่วงที่ฟันกำลังสร้างตัว (ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงประมาณ 8 ปี) ทำให้เซลล์ที่สร้างเคลือบฟัน (Ameloblasts) ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เคลือบฟันมีความพรุนและมีลักษณะเป็นคราบสีขาวขุ่น เหลือง หรือน้ำตาลดำ

สาเหตุของฟันตกกระ

น้ำดื่ม: การดื่มน้ำที่มีปริมาณฟลูออไรด์สูงเกินไป (เกิน 1.5 - 2 ppm) ซึ่งอาจพบในแหล่งน้ำธรรมชาติบางแห่ง

ยาสีฟัน: การใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ในเด็กเล็ก โดยที่เด็กยังบ้วนปากไม่เป็นและกลืนยาสีฟันเข้าไป

อาหารเสริมฟลูออไรด์: การได้รับอาหารเสริมฟลูออไรด์มากเกินความจำเป็น

น้ำยาบ้วนปากฟลูออไรด์: การใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ในเด็กเล็กที่อาจกลืนลงไป

ลักษณะของฟันตกกระ

ลักษณะของฟันตกกระจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของการได้รับฟลูออไรด์:

ระดับอ่อน: เป็นจุดขาวขุ่นเล็กๆ คล้ายชอล์ก หรือเส้นสีขาวขุ่นเล็กๆ บนผิวฟัน

ระดับปานกลาง: เป็นคราบขาวขุ่นชัดเจน มีสีเหลือง หรือน้ำตาลอ่อนปะปน

ระดับรุนแรง: เป็นคราบสีน้ำตาลเข้มถึงดำ มีหลุมหรือรอยบุ๋มบนผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันดูขรุขระและอาจเปราะแตกง่าย

แนวทางการรักษาฟันตกกระ
การรักษาฟันตกกระจะเน้นที่การปรับปรุงรูปลักษณ์ของฟันให้สวยงามขึ้น และมักจะทำเมื่อฟันแท้ขึ้นมาครบแล้ว:

ระดับอ่อน:

การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening/Bleaching): อาจช่วยให้คราบสีขาวขุ่นจางลงและดูกลืนไปกับสีฟันโดยรวม

การขัดฟันแบบ Microabrasion: ใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนอ่อนๆ ร่วมกับการขัด เพื่อลอกผิวเคลือบฟันชั้นบนที่มีคราบออกไปเล็กน้อย

ระดับปานกลางถึงรุนแรง:

การทำวีเนียร์ (Veneer): เป็นวิธีที่นิยมและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมในการปกปิดคราบสีและความผิดปกติของพื้นผิวฟัน

การอุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน (Composite Bonding): หากเป็นคราบเล็กๆ อาจใช้วัสดุอุดฟันสีเหมือนฟันปิดทับ

การครอบฟัน (Crown): ในกรณีที่ฟันตกกระอย่างรุนแรง มีหลุมบ่อมาก หรือฟันเปราะ

การป้องกัน
ฟันเหลืองดำจากคราบภายนอก: แปรงฟันให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ ลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้ม และงดสูบบุหรี่

ฟันตกกระ: ควบคุมปริมาณฟลูออไรด์ที่เด็กได้รับ โดยปรึกษาทันตแพทย์เกี่ยวกับการใช้น้ำดื่ม ยาสีฟัน และอาหารเสริมฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสม

หากคุณกังวลเกี่ยวกับสีฟันหรือมีปัญหาฟันเหลืองดำ/ฟันตกกระ ควรปรึกษา ทันตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณครับ

7
ขั้นตอน สร้างรายได้จากการขายของกิน สร้างอาชีพได้ ขายดี กำไรดีงาม

การสร้างรายได้จากการขายของกินเป็นอาชีพที่น่าสนใจและสามารถสร้างรายได้ที่ดีได้หากมีการวางแผนและการจัดการที่ดี ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. สำรวจความถนัดและความสนใจ:

ค้นหาเมนูที่ถนัด: เลือกเมนูอาหารที่คุณมีความเชี่ยวชาญและมั่นใจในรสชาติ เพื่อรักษาคุณภาพของอาหาร
ศึกษาตลาดและความต้องการ: สำรวจความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ของคุณ เพื่อเลือกเมนูที่ได้รับความนิยมและมีโอกาสในการขายสูง

2. วางแผนธุรกิจ:

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย: ระบุกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการเข้าถึง เช่น คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา หรือคนรักสุขภาพ
สร้างแบรนด์: พัฒนาชื่อร้าน โลโก้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อสร้างความน่าจดจำ
เลือกช่องทางการขาย: พิจารณาช่องทางการขายที่เหมาะสม เช่น ออนไลน์ (แอปพลิเคชันเดลิเวอรี่, โซเชียลมีเดีย) หรือออฟไลน์ (ตลาดนัด, จัดส่งตามออเดอร์)
กำหนดราคา: กำหนดราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนและตลาด เพื่อให้ได้กำไรที่เหมาะสม
วางแผนการตลาด: กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อโปรโมทร้านค้าของคุณ เช่น การใช้รูปภาพและวิดีโอที่น่าสนใจ การจัดโปรโมชั่น หรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

3. เตรียมความพร้อม:

จัดเตรียมอุปกรณ์และสถานที่: ตรวจสอบและเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารให้พร้อมใช้งาน และจัดเตรียมสถานที่ทำอาหารให้สะอาดและถูกสุขอนามัย
จัดหาวัตถุดิบ: เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีและสดใหม่ เพื่อให้ได้รสชาติอาหารที่ดีที่สุด
บรรจุภัณฑ์: เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
ขอใบอนุญาต (ถ้ามี): ตรวจสอบข้อกำหนดและขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขายในบ้าน

4. เริ่มต้นธุรกิจ:

ทำอาหารและขาย: เริ่มต้นทำอาหารและขายตามแผนที่วางไว้
รับฟังความคิดเห็น: รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้า เพื่อปรับปรุงคุณภาพและบริการ
พัฒนาตัวเอง: พัฒนาทักษะการทำอาหารและการจัดการธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
จัดการการเงิน: จัดการรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์ผลกำไรเพื่อปรับปรุงธุรกิจ

ตัวอย่างเมนูอาหารที่น่าสนใจ:

อาหารตามสั่ง (เช่น ข้าวผัด, กะเพรา, ผัดซีอิ๊ว)
อาหารคลีน/อาหารเพื่อสุขภาพ (เช่น สลัด, อาหารกล่อง, น้ำผักผลไม้)
ขนมโฮมเมด (เช่น เค้ก, คุกกี้, ขนมไทย)
อาหารว่าง/ของทานเล่น (เช่น ลูกชิ้นทอด, ไก่ทอด, ขนมปังปิ้ง)

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างความแตกต่าง: คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ หรือใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ
ทำการตลาด: ใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมทร้านค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
จัดการต้นทุน: ควบคุมต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
พัฒนาตัวเอง: เรียนรู้และปรับปรุงธุรกิจของคุณอย่างต่อเนื่อง
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการเริ่มต้นธุรกิจอาหารของคุณ

8
โรคพยาธิใบไม้ตับ

พยาธิใบไม้ตับ เป็นพยาธิที่ทำให้เกิดการติดเชื้อภายในท่อน้ำดีตับจากการบริโภคปลาหรือสัตว์น้ำดิบ ๆ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยพยาธิใบไม้ตับจะอาศัยร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพื่อเจริญเติบโตและวางไข่ ส่งผลให้ท่อน้ำดีเกิดการอักเสบเรื้อรังหรืออุดตันจากไข่และตัวพยาธิ ผู้ป่วยจึงอาจมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรืออ่อนเพลีย แต่หากอาการรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจตาเหลืองตัวเหลืองคันตามตัว หรือเบื่ออาหารได้

พยาธิใบไม้ตับที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ สายพันธุ์โอปิสทอร์คิส วิเวอร์รินี (Ophisthorchis Viverrini) มีลักษณะเรียวยาว ลำตัวแบน บาง และโปร่งใส หากโตเต็มวัยจะมีขนาดกว้างถึง 2-3 เซนติเมตร ยาว 5-10 เซนติเมตร และสามารถอาศัยอยู่ในท่อน้ำดีของตับคนได้นานถึง 26 ปี

อาการของพยาธิใบไม้ตับ

ในระยะแรกของการติดเชื้อ หากพยาธิใบไม้ตับยังมีจำนวนไม่มาก และเนื้อตับยังมีการอักเสบหรือเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจยังไม่ปรากฏอาการใด ๆ แต่หากมีพยาธิใบไม้ตับสะสมอยู่จำนวนมากเป็นเวลานาน จนเกิดการติดเชื้อเรื้อรังและตับเสียหายมากขึ้น ผู้ป่วยอาจเริ่มแสดงอาการคล้ายกับการป่วยโรคระบบทางเดินอาหารทั่วไป เช่น

    รู้สึกร้อนบริเวณท้อง
    อาหารไม่ย่อย แน่นท้อง ท้องอืด
    ท้องเสียเรื้อรัง หรือท้องเสียสลับกับท้องผูก
    ปวดหลัง
    ปวดท้องบริเวณด้านขวาบนจากภาวะตับอักเสบ
    เจ็บใต้ชายโครงขวา หรือใต้ลิ้นปี่
    คลำพบตับหรือก้อนในท้องด้านขวาบน
    อ่อนเพลีย

หากป่วยมานานแต่ไม่ได้รับการรักษา ตับอาจเกิดการอักเสบเสียหายมากขึ้น รวมทั้งมีพยาธิและไข่พยาธิอุดตันทางเดินน้ำดีในตับ จนผู้ป่วยอาจมีอาการตับและถุงน้ำดีโต ตาเหลืองตัวเหลืองเป็นครั้งคราว ขาดสารอาหาร และหากอาการทวีความรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้

    ปวดท้องด้านขวาบนเพิ่มมากขึ้น แน่นท้องจากตับโตมากขึ้น
    เบื่ออาหาร ผอมลง
    มีไข้ต่ำ
    คันตามตัว
    แขนขาบวม และมักมีน้ำในท้องหรือท้องมาน
    มีปัสสาวะสีเข้ม และมีอุจจาระสีซีด
    ตัวเหลือง ตาเหลือง
    ภาวะท่อน้ำดีอุดตันถาวร
    ตับและถุงน้ำดีโตมากจนคลำเจอเองได้

สาเหตุของพยาธิใบไม้ตับ

พยาธิใบไม้ตับมักเป็นการติดเชื้อจากพยาธิสายพันธุ์โอปิสทอร์คิสวิเวอร์รินีที่เข้ามาอาศัยภายในท่อน้ำดีตับจากการบริโภคปลาหรือสัตว์น้ำที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อเข้าไปโดยไม่ผ่านการปรุงสุกให้ความร้อนฆ่าพยาธิ โดยเฉพาะปลาน้ำจืด เช่น ปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาแก้มช้ำ ปลาขาวนา และปลาขาว หรือปลาจากการแปรรูปหมักดอง เช่น ปลาร้า และอาหารที่ปรุงจากปลาร้า เช่น ส้มตำ แจ่ว เป็นต้น

ตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับจะใช้ท่อน้ำดีตับของมนุษย์ในการเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย จนร่างกายได้รับความเสียหายและเกิดอาการป่วยต่าง ๆ ขึ้น โดยพยาธิใบไม้ตับมีวงจรชีวิต ดังนี้

    มนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรับเอาตัวอ่อนลักษณะซีสต์ระยะเมตาเซอร์คาเรีย (Encysted Metacercariae) หรือระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ตับเข้าสู่ร่างกาย
    พยาธิตัวอ่อนจะเข้าสู่ลำไส้เล็กและตับ ผ่านรูเปิดของท่อน้ำดีตับที่เปิดเข้าลำไส้เล็ก และเจริญเติบโตในท่อน้ำดีตับ
    ตัวอ่อนจะอาศัยในท่อน้ำดีจนเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย กลายเป็นหนอนพยาธิ
    เมื่อคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นรังโรคของพยาธิใบไม้ตับขับถ่ายอุจจาระไม่เป็นที่ ไข่ของพยาธิใบไม้ตับที่ปนอยู่ในอุจจาระจะปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำ และถูกกินโดยหอยน้ำจืด เช่น หอยขม จากนั้นตัวอ่อนจะอาศัยร่างกายของหอยน้ำจืดในการเจริญเติบโตเป็นระยะเซอร์คาเรีย (Cercaria)
    ตัวอ่อนระยะเซอร์คาเรียจะไชออกจากหอยน้ำจืดลงสู่แหล่งน้ำ และไชเข้าไปอาศัยอยู่ในเนื้อปลาน้ำจืด จนเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนลักษณะซีสต์ระยะเมตาเซอร์คาเรียหรือตัวอ่อนระยะติดต่อ
    เมื่อมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ บริโภคปลาที่มีพยาธิเข้าไป พยาธิก็จะเจริญเติบโตและวางไข่ในท่อน้ำดีตับต่อไป

การวินิจฉัยพยาธิใบไม้ตับ

ในเบื้องต้น แพทย์อาจวินิจฉัยอาการด้วยการซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับแหล่งอาศัย อาหารที่บริโภค และอาการต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้น จากนั้น อาจส่องกล้องจุลทรรศน์ตรวจตัวอย่างอุจจาระเพื่อหาไข่พยาธิ แต่หากตรวจไม่พบ แพทย์อาจต้องวินิจฉัยด้วยการหาสารก่อภูมิต้านทาน (Antigen) ต่อพยาธิใบไม้ตับ จากอุจจาระหรือเลือดต่อไป

นอกจากนั้น หากพบภาวะตับโต แพทย์อาจส่งตรวจอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อหาภาวะแทรกซ้อนจากโรคพยาธิใบไม้ตับเพิ่มเติม

การรักษาพยาธิใบไม้ตับ

เพื่อการรักษาพยาธิใบไม้ตับอย่างเหมาะสม แพทย์อาจต้องพิจารณาจากผลการวินิจฉัยไข่พยาธิ ระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยการรักษาพยาธิใบไม้ตับ มีดังนี้

การใช้ยา

    ยาพราซิควอนเทล รับประทานปริมาณ 25 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 3 ครั้ง หลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน หรือปริมาณ 40-50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง จากนั้น ไข่พยาธิในอุจจาระจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์
    ยาปฏิชีวนะ ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย

การผ่าตัด

แพทย์อาจต้องผ่าตัดหากเกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินน้ำดี

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องรับการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น กินยาแก้ปวด ต่อท่อเข้าไปในท่อน้ำดีเพื่อระบายน้ำดี ลดอาการตัวเหลืองตาเหลือง หรือเจาะน้ำออกจากท้องเป็นครั้งคราวเมื่อมีอาการแน่นท้องมากจากมีน้ำในท้อง เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของพยาธิใบไม้ตับ

ผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับอาจปรากฏภาวะแทรกซ้อนได้ ดังต่อไปนี้

    ภาวะโลหิตจาง
    ติดเชื้อแบคทีเรีย
    ท่อน้ำดีอักเสบติดเชื้อ
    ถุงน้ำดีอักเสบ
    ตับอ่อนอักเสบ
    ตับแข็ง
    มะเร็งท่อน้ำดี
    ติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อกระจายไปทั่วร่างกาย

การป้องกันพยาธิใบไม้ตับ

เนื่องจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับเกิดจากการบริโภคพยาธิใบไม้ตับเข้าสู่ร่างกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ดังนี้

    เลิกรับประทานปลาหรือสัตว์น้ำจืดแบบดิบ ๆ กึ่งสุกกึ่งดิบ หรือแบบแปรรูปหมักดอง เช่น ปลาร้า
    ปรุงอาหารจำพวกปลาหรือสัตว์น้ำจืดให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนบริโภคเสมอ ด้วยอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป
    หากต้องการรับประทานเนื้อปลาดิบ ๆ ควรแช่แข็งปลาที่ความเย็นต่ำกว่าหรือเท่ากับ -20 องศาเซลเซียส ก่อนรับประทานเป็นเวลา 7 วัน

หลังรักษาหายแล้ว ควรตรวจอุจจาระเป็นครั้งคราวตามคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อป้องกันกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง

9
หมอออนไลน์: ฮีโมฟิเลีย (Hemophilia)

ฮีโมฟิเลีย เป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบการแข็งตัวของเลือด คือ มีภาวะพร่องสารก่อเลือดแข็งตัวหรือปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factors) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำให้มีอาการเลือดออกง่ายและหยุดยาก

โรคนี้เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ มักมีอาการเกิดขึ้นตั้งแต่วัยทารกหรืออายุน้อยกว่า 18 เดือน บางคนจึงเรียกว่า “โรคเลือดง่ายแต่กำเนิด” หรือ “โรคเลือดออกง่ายหยุดยาก”

โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

    ฮีโมฟิเลียเอ (hemophilia A) ซึ่งมีการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ที่เรียกว่า “แฟกเตอร์ที่ 8 (factor VIII)” พบได้กว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยฮีโมฟิเลียทั้งหมด ในผู้ชายมีโอกาสพบโรคนี้ 1 ใน 10,000 คน และในผู้หญิงพบเป็นพาหะของโรคนี้ 1 ใน 5,000 คน
    ฮีโมฟิเลียบี (hemophilia B) ซึ่งมีการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ที่เรียกว่า “แฟกเตอร์ที่ 9 (factor IX)” พบได้เป็นส่วนน้อย ในผู้ชายพบโรคนี้ 1 ใน 40,000 คน และในผู้หญิงพบเป็นพาหะของโรคนี้ 1 ใน 20,000 คน

ทั้ง 2 ชนิด มีสาเหตุ อาการแสดง และภาวะแทรกซ้อนของโรคเหมือนกัน

หากมีระดับของแฟกเตอร์ที่ 8 หรือ 9 ต่ำกว่าร้อยละ 1 ของคนปกติ จัดว่าเป็นฮีโมฟิเลียแบบรุนแรง ซึ่งมักจะมีเลือดออกที่เกิดขึ้นเอง โดยไม่มีการบาดเจ็บหรือกระทบกระแทก และมักมีเลือดออกในข้อ

หากมีระดับของแฟกเตอร์ที่ 8 หรือ 9 ร้อยละ 1-5 ของคนปกติ จัดว่าเป็นฮีโมฟิเลียแบบปานกลาง ซึ่งจะมีเลือดออกเมื่อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง

หากมีระดับของแฟกเตอร์ที่ 8 หรือ 9 ร้อยละ 5-40 จัดว่าเป็นฮีโมฟิเลียแบบเล็กน้อย จะมีเลือดออกเมื่อได้รับบาดเจ็บรุนแรงหรือผ่าตัด

สาเหตุ

ภาวะขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด มีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบ X-linked (มีความผิดปกติที่โครโมโซม X) เช่นเดียวกับภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี ดังนั้นจึงพบโรคนี้ในผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ผู้หญิงจะมีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ซึ่งไม่แสดงออก แต่สามารถถ่ายทอดไปให้ลูกหลาน ผู้หญิงส่วนน้อยมากที่อาจมีอาการของโรคนี้ แต่จะต้องมีทั้งพ่อแม่ที่มีกรรมพันธุ์ของโรคนี้ทั้งคู่ (ดูเพิ่มเติมใน “ภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก และภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี”)

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดออกง่ายเป็น ๆ หาย ๆ มาตั้งแต่เล็ก มักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่อเด็กเริ่มเคลื่อนไหวด้วยตนเอง (หลังอายุ 6 เดือนขึ้นไป และมักเกิดขึ้นก่อนอายุ 18 เดือน)

มักจะออกเป็นจ้ำใหญ่ (ไม่เป็นจุดแดง) หรือออกเป็นก้อนนูน โดยมักเกิดจากการกระทบกระแทกเล็ก ๆ น้อย ๆ

อาจมีเลือดกำเดาไหล หรือถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นเลือด โดยไม่ทราบสาเหตุ

บางรายอาจมีบาดแผล (เช่น มีดบาด) ซึ่งมีเลือดออกนานและหยุดยาก หรือบางรายอาจมีเลือดออกในกล้ามเนื้อจนซีด และช็อก

บางรายอาจมีเลือดออกโดยเกิดขึ้นเองก็ได้ ที่มีอันตรายร้ายแรง คือ อาจมีเลือดออกเองในข้อ (ที่พบ ได้แก่ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อมือ ข้อเท้า) ทำให้มีอาการปวดบวม แดง ร้อน คล้ายข้ออักเสบ หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ข้อติดแข็งพิการได้

ในรายที่เป็นฮีโมฟิเลียแบบเล็กน้อย มักมีเลือดออกเวลารับการผ่าตัดหรือถอนฟันหรือบาดเจ็บรุนแรง

ทารกที่ยังสื่อสารไม่ได้ เมื่อมีอาการเลือดออกตามข้อหรือกล้ามเนื้อ อาจแสดงอาการร้องกวนงอแง กระสับกระส่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ


ภาวะแทรกซ้อน

ซีด ช็อก เลือดออกในข้อทำให้ข้อติดแข็งพิการ เลือดออกในสมอง อาจถึงเสียชีวิตได้

ถ้ามีเลือดออกในกล้ามเนื้อแขนหรือขา ทำให้แขนหรือขาบวม และอาจกดถูกเส้นประสาทเกิดอาการปวดเสียวหรือชาได้

ถ้ามีเลือดออกในกล้ามเนื้อของคอหรือกล่องเสียง อาจทำให้กดท่อลม (trachea) เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ มีอันตรายถึงตายได้

ผู้ป่วยที่รับการถ่ายเลือดบ่อย ๆ ก็อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและซีได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ พบมีเลือดออกเป็นจ้ำเลือด (รอยฟกช้ำ) ขนาดใหญ่ ก้อนนูนหรือก้อนเลือดคั่งใต้ผิวหนัง (hematoma)

ข้อบวม ออกร้อนและปวด เคลื่อนไหวลำบาก

ก้อนบวม ออกร้อน และปวดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของแขน ขา ลำตัว

มีภาวะเลือดออกนานและหยุดยาก เวลามีบาดแผลจากการบาดเจ็บ ผ่าตัด หรือ ถอนฟัน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพบระดับปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (แฟกเตอร์ที่ 8 หรือ 9) ในเลือดต่ำกว่าปกติ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

การรักษา ที่สำคัญ คือการให้พลาสมาสดแช่แข็ง (fresh frozen plasma) ที่มีปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (มีแฟกเตอร์ที่ 8 และ 9 ที่เข้มข้น ซึ่งสกัดจากพลาสมาของผู้บริจาคเลือดและผ่านกระบวนการทำลายเชื้อเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบ)

ในกรณีที่มีเลือดออกรุนแรง ซึ่งต้องให้ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดขนาดมาก หรือต้องการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและซี แพทย์จะให้แฟกเตอร์ที่ 8 หรือ 9 ซึ่งสังเคราะห์ด้วยวิธีพันธุวิศวกรรม (ได้แก่ recombinant factor VIII หรือ IX) ตามชนิดของฮีโมฟิเลีย

สารเหล่านี้จะให้เพื่อการรักษาขณะที่มีภาวะเลือดออกเกิดขึ้น และอาจให้เพื่อการป้องกันก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือถอนฟัน ขนาดของสารที่ใช้รักษาและระยะเวลาของการรักษาขึ้นกับความรุนแรงและตำแหน่งของเลือดที่ออก

ผู้ป่วยที่เป็นฮีโมฟิเลียที่มีอาการรุนแรงและอาการปานกลาง แพทย์จะให้พลาสมาสดแช่แข็งชนิดสำเร็จรูปไว้ประจำที่บ้าน และใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดด้วยตนเอง หรือให้ญาติช่วยฉีดให้เมื่อมีเลือดออก การให้การรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและความพิการในระยะยาวได้

ในรายที่เป็นฮีโมฟิเลียชนิดเอแบบเล็กน้อยและปานกลาง แพทย์อาจให้ยาเดสโมเพรสซิน (desmopressin) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างแฟกเตอร์ที่ 8 หลังมีการบาดเจ็บ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเล็กหรือถอนฟัน ยานี้มีทั้งชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำและพ่นจมูก ยานี้ใช้ไม่ได้ผลกับโรคฮีโมฟิเลียแบบรุนแรง

นอกจากนี้ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกในข้อ ข้อติดแข็งหรือพิการ ก็จะให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย

ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ก็มักจะมีชีวิตได้ยืนยาวและลดภาวะแทรกซ้อนลงได้มาก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจสร้างสารภูมิต้านทานต่อสารที่ใช้รักษา (ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด) ทำให้การรักษาได้รับผลไม่สู้ดี อาจต้องเพิ่มขนาดของสารที่ใช้รักษา หรือเปลี่ยนไปใช้สารชนิดอื่นแทน

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น พบว่าเด็กมีอาการเลือดออกง่ายเวลามีบาดแผล (เช่น มีดบาด) มีเลือดออกนานและหยุดยาก มีอาการข้อบวม หรือมีก้อนบวมที่แขนขาหรือลำตัวซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เวลาถูกกระทบกระแทกเบา ๆ ก็เกิดรอยฟกช้ำเป็นจ้ำเลือดขนาดใหญ่หรือออกเป็นก้อนนูน หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ (เช่น กำเดาไหล ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะเป็นเลือด) โดยไม่ทราบสาเหตุ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นฮีโมฟิเลีย ควรดูแลรักษา ดังนี้

    ดูแลรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หาทางหลีกเลี่ยงจากการกระทบกระแทกหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ โดยมีการดำเนินชีวิตและมีอาชีพที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกาย เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว ขี่จักรยานได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่มีการปะทะหรือเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น ฟุตบอล ฮอกกี้
    ดูแลสุขภาพฟัน อย่าให้ฟันผุ ฟันเสีย เพื่อหลีกเลี่ยงการถอนฟัน ที่อาจทำให้เลือดออกรุนแรง
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาแก้ปวด แก้ข้ออักเสบกินเอง และยาอื่น ๆ ที่ทำให้เลือดออกได้ง่าย
    เมื่อรู้สึกเริ่มมีอาการปวดหรือตึงข้อ (ซึ่งแสดงว่าเริ่มมีเลือดออก) ให้ฉีดพลาสมาสดแช่แข็งชนิดสำเร็จรูปที่มีติดบ้านเข้าไปในหลอดเลือดดำเพื่อป้องกันไม่ให้มีเลือดออกรุนแรงต่อไป
    เวลาที่ไปพบแพทย์เพื่อทำหัตถการที่เสี่ยงต่อเลือดออก (เช่น ทำฟัน ฉีดยา ผ่าตัด) ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อเตรียมยาและอุปกรณ์ในการห้ามเลือดไว้พร้อมในการแก้ไข

ควรกลับไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการที่สงสัยว่ามีเลือดออกในสมอง เช่น มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) เห็นภาพซ้อน ซึมมาก แขนขาอ่อนแรงหรือชัก
    มีเลือดออก ทำการห้ามเลือดเบื้องต้นแล้วเลือดไม่หยุดไหล
    เมื่อมีอาการที่เลือดเริ่มออก (เช่นอาการปวดหรือตึงข้อ) และฉีดพลาสมาสดแช่แข็งที่บ้านแล้วไม่ได้ผล (เช่น มีอาการปวดและบวมที่ข้อมากขึ้น)
    ประสบอุบัติเหตุ หรือได้รับบาดเจ็บ

การป้องกัน

การป้องไม่ให้เป็นโรคนี้ทำได้ยาก เนื่องจากโรคนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ผู้ป่วยและผู้ที่สงสัยมีพันธุกรรมของโรคนี้แฝงอยู่ เมื่อวางแผนจะแต่งงานหรือต้องการจะมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์ในการลดความเสี่ยงต่อการมีบุตรที่เกิดมาเป็นโรคนี้ แพทย์อาจทำการตรวจดีเอ็นเอ (พันธุกรรม) ของคู่สมรส และเมื่อตั้งครรภ์แพทย์อาจทำการตรวจดูว่าทารกในครรภ์เป็นโรคนี้หรือไม่ ดังที่เรียกว่า การวินิจฉัยก่อนคลอด (prenatal diagnosis)

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้จะเป็นติดตัวตลอดชีวิต โดยมีอาการเลือดออกเป็นครั้งคราว ในปัจจุบันสามารถให้การดูแลรักษาจนมีอายุยืนยาวเท่าคนปกติได้โดยการให้พลาสมาสดแช่แข็ง แฟกเตอร์ที่ 8/9 ชนิดสังเคราะห์ (recombinant factor VIII/IX) หรือเดสโมเพรสซิน

เด็กที่เป็นฮีโมฟิเลียบางคน แพทย์อาจให้แฟกเตอร์ที่ 8/9 ชนิดสังเคราะห์ ฉีดป้องกันวันละ 3 ครั้ง (สำหรับฮีโมฟิเลียเอ) หรือ 2 ครั้ง (สำหรับฮีโมฟิเลียบี) ตั้งแต่อายุ 1 ปีจนถึงวัยหนุ่มสาว

2. ผู้ป่วยควรทราบหมู่เลือดของตัวเอง และควรมีสิ่งแสดงว่าตัวเองเป็นโรคนี้และมีหมู่เลือดอะไร สถานที่รักษา เบอร์โทรศัพท์ของแพทย์ผู้รักษา (อาจเป็นบัตรประจำตัวหรือเหรียญ) พกติดตัวไว้เสมอ เผื่อประสบอุบัติเหตุ หรือมีเลือดออก จะได้ให้ความช่วยเหลือได้ถูกต้องและทันท่วงที

3. ในการฉีดยารักษาโรคแก่ผู้ป่วย แพทย์จะหลีกเลี่ยงการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพราะอาจทำให้มีก้อนเลือดคั่งอยู่ในกล้ามเนื้อได้ จะเปลี่ยนมาใช้ยาชนิดกิน หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือเข้าทางหลอดเลือดดำ แต่หากจำเป็นต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จะฉีดโดยการใช้เข็มเบอร์ขนาดเล็ก ทำการกดแผลที่ฉีดไว้นาน ๆ เพื่อป้องกันเลือดออกที่กล้ามเนื้อ และติดตามดูอาการเลือดออกเป็นเวลาอย่างน้อยใน 24 ชั่วโมง หรืออาจฉีดพลาสมาสดแช่แข็งก่อนที่จะฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ

4. พ่อแม่และพี่น้องของผู้ป่วย ควรตรวจเช็กว่ามีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติหรือมีโรคนี้ (อาจเป็นฮีโมฟิเลียแบบเล็กน้อย) ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ จะได้หาทางดูแลให้เหมาะสมได้

5. โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ซึ่งมีอาการตั้งแต่อายุ 6-18 เดือน แต่ก็อาจพบในผู้ใหญ่ที่ไม่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์และไม่มีอาการเลือดออกง่ายหยุดยากมาก่อน มีสาเหตุจากร่างกายมีปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง (ออโตอิมมูน) คือ เกิดมีสารภูมิต้านทานต่อปัจจัยการแข็งตัวของเลือดทำให้ร่างกายพร่องปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (แฟกเตอร์ที่ 8 และ 9) เกิดอาการเลือดออกง่ายหยุดยาก เรียกว่า “โรคฮีโมฟิเลียชนิดเกิดในภายหลัง (acquired hemophilia)”

ภาวะนี้ส่วนหนึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน

อีกส่วนหนึ่งอาจพบในหญิงตั้งครรภ์ โรคมะเร็ง (เช่น มะเร็งปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ เต้านม ปากมดลูก ต่อมน้ำเหลือง) หรือ โรคภูมิต้านตัวเอง (เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี คอพอกเป็นพิษ หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ) หรือ การแพ้ยา การรักษาสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ นอกจากให้การรักษาแบบเดียวกับฮีโมฟิเลียที่พบในเด็กแล้ว ยังต้องรักษาโรคที่พบร่วมพร้อมกันไปด้วย

10
งานฝีมือ การทำชั้นวางของจากไม้

การทำ ชั้นวางของจากไม้ เป็นงานฝีมือที่ท้าทายขึ้นมาอีกระดับ แต่ก็เป็นงานที่คุ้มค่าและให้ความภาคภูมิใจมากค่ะ เพราะนอกจากจะได้ชั้นวางของที่ใช้งานได้จริงแล้ว ยังสามารถออกแบบให้เข้ากับสไตล์บ้านของคุณได้ไม่เหมือนใครด้วย

หลักการสำคัญของการทำชั้นวางของไม้
ความปลอดภัยและโครงสร้าง: ต้องคำนึงถึงความแข็งแรงทนทานเป็นหลัก เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานและสามารถรับน้ำหนักสิ่งของได้จริง

เครื่องมือ: เตรียมเครื่องมือให้พร้อมและใช้งานอย่างระมัดระวัง

การวัดและการตัด: ต้องวัดขนาดให้แม่นยำและตัดไม้ให้ตรง เพื่อให้ประกอบชิ้นส่วนได้พอดีและได้ชั้นที่แข็งแรง

การเก็บงาน: การขัดและเคลือบผิวไม้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อความสวยงามและคงทน

ไอเดียและวิธีทำชั้นวางของจากไม้ (สำหรับมือใหม่ - เน้นแบบง่ายๆ)
สำหรับมือใหม่ เราจะเน้นไปที่ชั้นวางของแบบง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เช่น ชั้นติดผนัง หรือชั้นวางของแบบเตี้ยๆ ครับ

ไอเดียที่ 1: ชั้นวางของติดผนังแบบลอยตัว (Floating Shelf)
เป็นแบบที่เรียบง่าย ดูสะอาดตา และนิยมมาก เหมาะสำหรับวางของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ หรือหนังสือ


วัสดุและอุปกรณ์:

ไม้: เลือกไม้เนื้อแข็งหรือไม้อัดคุณภาพดี เช่น ไม้สน ไม้ยางพาราประสาน หรือไม้ MDF เคลือบผิว (ควรเลือกขนาดความกว้าง ความหนา และความยาวตามที่ต้องการ)

ฉากรับชั้น/ตัวยึดแบบลอยตัว: มีหลายแบบให้เลือกตามน้ำหนักที่จะรับและสไตล์ที่ชอบ (เช่น ฉากเหล็กตัว L, ฉากซ่อนขา, ตัวยึดแบบ Floating Shelf)

สว่านไฟฟ้าและดอกสว่าน: สำหรับเจาะผนังและไม้

พุกและสกรู: ให้เหมาะกับชนิดของผนัง (อิฐ, ปูน, ยิปซัม)

ดินสอ, ตลับเมตร, ระดับน้ำ: สำหรับวัดและทำเครื่องหมาย

กระดาษทราย: สำหรับขัดไม้ (เบอร์ละเอียด)

สีทาไม้/น้ำยาเคลือบไม้/สีย้อมไม้: สำหรับตกแต่งและป้องกันเนื้อไม้

แปรงทาสี/ลูกกลิ้ง

วิธีทำ:

เตรียมไม้:

ตัดไม้ตามขนาดที่ต้องการ หากซื้อไม้สำเร็จรูปมาแล้ว อาจข้ามขั้นตอนนี้

ขัดผิวไม้ให้เรียบเนียนด้วยกระดาษทราย เริ่มจากเบอร์หยาบปานกลาง แล้วตามด้วยเบอร์ละเอียด เพื่อเก็บเสี้ยนไม้

ทำความสะอาดฝุ่นผงจากการขัดให้หมดจด

ทาสี/เคลือบไม้: ทาสีหรือเคลือบไม้ตามต้องการ ปล่อยให้แห้งสนิทตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์ (อาจทา 2-3 รอบเพื่อความคงทนและสวยงาม)


ติดตั้งฉากรับชั้น/ตัวยึด:

สำหรับฉากเหล็กตัว L: ใช้ดินสอและตลับเมตรทำเครื่องหมายตำแหน่งที่จะเจาะรูบนผนัง วางตำแหน่งฉากรับชั้นให้ได้ระดับด้วยระดับน้ำ เจาะรู ฝังพุก และไขสกรูยึดฉากรับชั้นเข้ากับผนังให้แน่น

สำหรับตัวยึดแบบ Floating Shelf (ซ่อนขา): ทำตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพราะแต่ละแบบอาจแตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะมีการเจาะรูที่ผนังและเจาะรูที่แผ่นไม้ แล้วสอดเดือยเข้าไป

วางแผ่นไม้: วางแผ่นไม้ที่เตรียมไว้บนฉากรับชั้น หรือสอดเข้ากับเดือยยึด ให้แน่นและได้ระดับ (อาจใช้สกรูยึดแผ่นไม้กับฉากรับชั้นเพิ่มเติมเพื่อความมั่นคง)

ไอเดียที่ 2: ชั้นวางของแบบตั้งพื้น/วางบนโต๊ะ (Simple Stand-alone Shelf)
เหมาะสำหรับวางบนโต๊ะทำงาน ในห้องนอน หรือมุมเล็กๆ ที่ต้องการเพิ่มพื้นที่เก็บของ ทำง่าย ไม่ต้องยึดผนัง


วัสดุและอุปกรณ์:

ไม้: ไม้แผ่นสำหรับทำชั้น และไม้ท่อนสี่เหลี่ยมสำหรับทำขาหรือเสา (เลือกชนิดไม้แบบเดียวกับไอเดียที่ 1)

เลื่อย: สำหรับตัดไม้ (ถ้าซื้อไม้มายังไม่ตัด)

สว่านไฟฟ้าและดอกสว่าน

สกรู: (เลือกขนาดที่เหมาะสมกับความหนาของไม้)

ดินสอ, ตลับเมตร, ระดับน้ำ

กระดาษทราย

สีทาไม้/น้ำยาเคลือบไม้

แปรงทาสี/ลูกกลิ้ง

วิธีทำ (ตัวอย่าง: ชั้น 2 ชั้น):


เตรียมไม้:

ตัดไม้แผ่นสำหรับทำชั้น 2 แผ่น (ขนาดเท่ากัน)

ตัดไม้ท่อนสี่เหลี่ยมสำหรับทำขา 4 ชิ้น (ความยาวเท่ากัน)

ขัดผิวไม้ทุกชิ้นให้เรียบเนียน ทำความสะอาดฝุ่น

ทาสี/เคลือบไม้: ทาสีหรือเคลือบไม้ทุกชิ้นตามต้องการ ปล่อยให้แห้งสนิท


ประกอบชั้น:

ชั้นล่าง: นำไม้แผ่นชั้นล่างมาวางคว่ำลง ใช้ดินสอทำเครื่องหมายตำแหน่งที่จะยึดขาแต่ละข้าง (มักจะห่างจากมุมเข้ามาเล็กน้อย)

วางไม้ท่อนที่เป็นขา 4 ชิ้นลงบนตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้ ใช้สว่านเจาะนำร่อง (pilot hole) ผ่านไม้แผ่นชั้นล่างลงไปในขาไม้ท่อน (ระวังอย่าให้ทะลุออกไปอีกด้าน) แล้วไขสกรูยึดให้แน่น

ชั้นบน: นำไม้แผ่นชั้นบนมาวางคว่ำลงบนปลายอีกด้านของขาไม้ท่อนที่ยึดกับชั้นล่างแล้ว (ในขั้นตอนนี้ ควรใช้ระดับน้ำช่วยตรวจสอบว่าขาไม้ตั้งตรงและชั้นไม้ได้ระดับ) ทำเครื่องหมาย เจาะนำร่อง และไขสกรูยึดให้แน่น

ตรวจสอบความมั่นคง: ลองเขย่าชั้นเบาๆ เพื่อตรวจสอบว่าแน่นหนาและไม่โยกเยก


ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่:

เริ่มต้นจากแบบง่ายๆ: อย่าเพิ่งลองทำแบบที่ซับซ้อนมากนัก เช่น ชั้นหนังสือขนาดใหญ่ หรือตู้เก็บของที่มีลิ้นชัก

เลือกไม้ที่เหมาะสม: สำหรับมือใหม่ ไม้เนื้ออ่อนอย่างไม้สน หรือไม้ยางพาราประสาน จะตัดง่ายกว่าไม้เนื้อแข็ง

ใช้เครื่องมืออย่างปลอดภัย: สวมถุงมือ แว่นตานิรภัย และอ่านคู่มือการใช้งานเครื่องมือทุกครั้ง

วัดซ้ำ 2 ครั้ง ตัดครั้งเดียว: เพื่อป้องกันความผิดพลาด

อดทนและสนุกกับกระบวนการ: การทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ต้องใช้เวลาและความละเอียดอ่อน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่าแน่นอนค่ะ

การทำชั้นวางของจากไม้เป็นงานอดิเรกที่ให้ทั้งทักษะและความสุข ลองเริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็กๆ ที่คุณสนใจดูนะคะ!

11
จัดฟันบางนา: บุคคลที่มีความเสี่ยง หากทำการถอนฟัน

ต้องขอบอกเลยว่าการถอนฟันนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่ง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วหากว่าฟันของท่านไม่มีปัญหาถึงขีดสุดจนแก้ไม่ได้แล้ว ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะไม่เลือกวิธีถอนฟันเป็นวิธีแรกอย่างแน่นอน เนื่องจากว่าการคงสภาพฟันไว้คือทางที่ดีที่สุดในการรักษา แต่ถึงอย่างไรการถอนฟันนั้นก็เป็นวิธีหนึ่งที่ควรทำหากว่ามีความเหมาะสม

ในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับการถอนฟันให้มากขึ้น เพราะไม่ใช่ว่าใครๆก็ถอนกันได้ จะต้องดูความพร้อมและเหมาะสมด้วย เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายเพิ่มเข้ามาหลังจากที่ทำการถอนฟัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


สาเหตุใดบ้าง ที่จำเป็นต้องถอนฟัน ?

– ฟันซ้อนที่ส่งผลเสียต่อการจัดฟัน

ต้องขอบอกเลยว่าหากบางท่านที่มีฟันซ้อนเกทับเป็นอย่างมาก ทันตแพทย์จำเป็นจะต้องถอนฟัน เพื่อให้เกิดช่องว่างบางส่วนในการให้ฟันเคลื่อนที่ไปเรียงตัวได้ หากมีฟันซ้อนเกเบียดทับกันมากเกินไปก็จะทำให้การจัดฟันไม่สามารถทำได้ เพราะ ฟันจะไม่สามารถเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่ต้องการได้นั่นเอง

– เกิดการติดเชื้อ หรือการอักเสบของฟัน

สำหรับผู้ที่มีฟันผุ และลุกลามไปถึงโพรงฟันชั้นกลาง ซึ่งประกอบไปด้วยเส้นประสาทจำนวนมากและเส้นเลือด ก็อาจจะต้องทำการถอนฟันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลามสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้ออย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างไรก็ตามทันตแพทย์จะวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อนั้นสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรักษารากฟัน สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไม่รุนแรงนั่นเอง

– มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ผู้ที่ต้องทำการรับยาเคมีบำบัด ที่ทำให้ภาวะภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ แพทย์จะทำการตรวจสอบก่อนว่าผู้ป่วยนั้นมีฟันผุหรือไม่ก่อนที่จะให้รับยา โดยหากพบว่ามีฟันผุ แพทย์จะให้ทันตแพทย์ทำการถอนฟันเสียก่อนที่จะรับยาเหล่านี้ เพราะหากว่าไม่ถอนฟันซี่ที่ผุออกยาอาจจะทำให้ฟันซี่ที่ผุเกิดการอักเสบลุกลามได้ นอกจากนี้หากว่าผู้ป่วยเป็นโรคเหงือก ทันตแพทย์ก็จะแนะนำให้ทำการถอนฟันและรักษาเหงือกส่วนนั้นก่อนที่จะรับยาด้วยเช่นกัน


ข้อห้ามก่อนทันตแพทย์จะทำการถอนฟัน

ต้องขอบอกก่อนเลยว่าการถอนฟันนั้นถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่มีความปลอดภัยสูงมาก แต่ก็อาจจะมีความเสี่ยงในเรื่องของเชื้อแบคทีเรียนที่อยู่ในช่องปากจำนวนมหาศาลจะเกิดการแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด แถมเนื้อเยื่อของเหงือกก็อาจจะมีการติดเชื้อได้เช่นกัน ซึ่งคนไข้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออาจจำเป็นจะต้องรับยาก่อนและหลังจากการถอนฟัน และสิ่งที่จำเป็นอย่างมากก่อนการถอนฟันต้องแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบทุกครั้งถึงประวัติการรักษาของตน รวมถึงยาหรืออาหารเสริมที่กำลังใช้


ข้อห้ามสำหรับผู้ป่วย หรือที่กำลังรักษาดังต่อไปนี้ ?

ประวัติการรักษา หรือโรคต่างๆที่ผู้ป่วยที่เตรียมตัวถอนฟันควรบอกทันตแพทย์ทุกครั้งว่าทำการรักษาอะไรอยู่นั้น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญมากๆในการรักษาทางทันตกรรม ยิ่งเป็นการถอนฟันด้วยแล้วยิ่งต้องควรแจ้งทันตแพทย์อย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนต่างๆได้ โดยโรคต่างๆที่ไม่ควรถอนฟันในทันทีมีดังต่อไปนี้

– ผู้ป่วยมีอาการของโรคลิ้นหัวใจรั่วหรือต้องทำการใช้ลิ้นหัวใจเทียม

– ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด

– ผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

– ผู้ป่วยที่มีภาวะเป็นโรคตับ

– ผู้ป่วยเคยผ่าตัดใส่ข้อเทียม หรือ ข้อต่อเทียมต่างๆ

– มีประวัติเยื่อบุหัวใจอักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อ

ดังที่กล่าวมานี้ผู้ป่วยที่มีประวัติหรือกำลังรักษาโรคต่างๆทางร่างกาย ควรแจ้งทันตแพทย์ทุกครั้งที่จะเข้ารับทำการรักษาเกี่ยวกับทางด้านทันตกรรมต่างๆ เพื่อป้องกันตัวท่านเองไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน หรืออันตรายต่างๆ แต่ไม่ต้องกลัวว่าถ้าหากเป็นโรคเหล่านี้แล้วจะไม่สามารถทำการรักษาทางทันตกรรมได้ เนื่องจากเมื่อทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทราบประวัติต่างๆของผู้ป่วยแล้ว ทันตแพทย์ก็จะทำการหาวิธีและวางแผนการรักษาให้ปลอดภัยที่สุดเหมาะสมที่สุดกับตัวท่านเอง

12
ผ้ากันไฟสีแดง Silicone coated Silica cloth หรือ ผ้ากันไฟซิลิก้าเคลือบซิลิโคน ทำมาจากอะไร

ผ้ากันไฟซิลิก้าเคลือบซิลิโคน (Silicone Coated Silica Cloth)

ผ้าซิลิก้า (Silica cloth) ทอขึ้นมาจากเส้นใยซิลิก้าที่ยาวแบบต่อเนื่อง โดยมีปริมาณของซิลิก้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 96 ผ้าซิลิก้าจะเหมือนผ้าใยแก้วทุกอย่าง แต่ถ้าดูดีๆ ผ้าซิลิก้าจะละเอียดกว่า และการทอก็จะดูแน่นกว่าผ้าใยแก้ว ไม่มีอาการคันหรือเกิดการระคายเคืองผิว

ซึ่งรุ่นนี้ได้ทำการเคลือบซิลิโคนเข้ามาเพิ่ม ซึ่งปกติแล้ว ผ้ากันไฟซิลิก้าเป็นผ้าที่มีคุณสมบัติทนทานต่อความร้อนสูง โดยที่สามารถทนต่ออุณหภูมิที่ประมาณสูงสุดถึง 1000 °C แล้วสารตัวเคลือบจะทนได้ถึง 280 °C ซึ่งทนมากๆ เหมาะกับการใช้งานที่มีอุณหภูมิสูงๆ

สามารถเอาไปใช้งานในด้านไหนได้บ้าง

1.ผ้ากันสะเก็ดไฟเชื่อม
2.เป็นผ้าม่านกันไฟ
3.เป็นผ้าคลุมอุปกรณ์ หรือ เครื่องจักรป้องกันความเสียหายจากความร้อน
4.เป็นผ้ากันไฟไม่ให้ลุกลามใหญ่โตจนเกินไป
5.เป็นวัสดุกันความร้อนและเปลวไฟ
6.ใช้เป็นฉนวนหุ้ม Turbine ได้ สำหรับงานกันความร้อน

คุณสมบัติเด่นๆ มีอะไรบ้าง

1.ทนอณุหภูมิสูงสุดได้ 1000 °C
2.สารเคลือบสามารถทนอุณหภูมิได้ถึง 280 °C
3.เป็นผ้ากันไฟไม่คัน ไม่ระคายเคืองผิว
4.มีอายุการใช้งานได้นาน ไม่ขาดง่าย

ในตอนนี้ ผ้าซิลิก้าเคลือบซิลิโคน ได้รับความนิยมสูงเพราะมีอายุใช้งานได้นาน และถูกนำไปใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นงานด้านตัดเย็บ เป็น ผ้ากันไฟ ม่านกันไฟ ผ้ากันความร้อน ผ้าทนความร้อน ผ้าคลุมกันไฟ ผ้ารองกันสะเก็ดไฟ ผ้ากันสะเก็ดไฟเชื่อม ผ้าใบกันไฟ ผ้าใบทนความร้อน ผ้าม่านกันสะเก็ดไฟ

13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


14
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


15
บริหารจัดการอาคาร: การอบโอโซนฆ่าเชื้อในบ้าน

ความสะอาดและสุขอนามัยในครัวเรือน เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องคำนึงถึง เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่อยู่อาศัยและพักผ่อนของเรา และเป็นที่ที่เราอยู่ทุกวันจึงจำเป็นที่จะต้องมีความสะอาดอยู่เสมอ เพราะไม่อย่างนั้น จะทำให้สุขภาพของคนในบ้านไม่ดี เจ็บป่วยได้ง่าย เเต่การทำความสะอาดบ้านเเบบทั่วไป อาจไม่เพียงพอในการชำระและฆ่าเชื้อโรคที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในบ้าน

โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กอาจจะส่งผลเสียต่อตัวเด็กในได้อนาคต ดังนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าบ้านจะปลอดภัยปราศจากเชื้อโรค เราก็ควรจะต้องกำจัดเจ้าตัวเชื้อโรคนี้ออกไป เราควรจะกำจัดเชื้อโรคภายในบ้านให้สะอาดและปลอดภัย ยิ่งในตอนนี้มีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นเชื้อที่กำลังระบาดและเป็นอันตรายมากในขณะนี้ ยิ่งคนเราออกไปทำงานนอกบ้าน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้เอาเชื้อโรคจากภายนอกเข้ามาในบ้านของเรา

ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ภายในบ้านปลอดเชื้อโรคได้นั้น ก็คือ การพ่นฆ่าเชื้อโรค หรือถ้าบ้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก ก็ควรที่จะอบโอโซนภายในบ้านเพื่อให้ทุกคนในบ้านได้ปลอดภัยจากเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในบ้านของเรา ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการอบโอโซนภายในบ้าน เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นตอของการเกิดปัญหาสุขภาพ

 สำหรับการอบโอโซน ถือว่าเป็นนวัตกรรมการฆ่าเชื้ออย่างหนึ่ง โดยมนุษย์สามารถผลิตก๊าซโอโซนขึ้นมาเองได้ นอกจากที่มีอยู่เองตามธรรมชาติแล้ว และก็จะนำก๊าซโอโซนที่ได้มาอบฆ่าเชื้อ โดยที่โอโซนจะเข้าไปจับโมเลกุลของสารปนเปื้อนและทำการย่อยสลายและทำลายโดยการเปลี่ยนโครงสร้างของสารนั้น ทั้งนี้ โอโซนเป็นก๊าซที่มีโครงสร้างเสถียร ซึ่งหลังจากทำปฏิกิริยา โอโซนจะแปรสภาพกลับเป็นก๊าซออกซิเจน

จึงมั่นใจได้ว่าโอโซนจะไม่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบใด ๆ ต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม สำหรับคุณสมบัติในการขจัดเชื้อโรคนั้น เมื่อก๊าซโอโซนไปจับกับตัวเชื้อโรคจะเกิดการแตกตัวเป็น O + O2 และออกซิเจน อะตอมนี้เองที่จะเข้าไปทำลายผนังเซลล์ ทำให้เชื้อโรคทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสลายไป ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะเกิดขึ้น หลังจากที่ทำการปล่อยโอโซนอบไว้ในห้อง 2-3 ชั่วโมง แม้ว่าโอโซนจะเป็นรูปแบบหนึ่งของออกซิเจน และมีสภาพเป็นพิษเมื่อมีความเข้มข้นมากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลิตรในอากาศ

แต่เมื่อปิดเครื่องผลิตโอโซนและปล่อยห้องทิ้งไว้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง โอโซนภายในห้องจะสลายจาก O3 เป็น O2 จึงรับรองว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยแน่นอน อย่างไรก็ตาม การอบโอโซน เหมาะสำหรับพื้นที่ปิดเท่านั้น แม้จะสามารถใช้กับสถานที่ที่คนพลุกพล่านได้ เช่น ศูนย์การค้า ร้านอาหาร สำนักงาน แต่ตอนทำการอบฆ่าเชื้อ จะต้องนำคนและสิ่งมีชีวิตออกจากพื้นที่และหลังจากการอบฆ่าเชื้อแล้วเป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมงค่อยเปิดใช้งานสถานที่ได้เป็นปกติ ถึงแม้ว่าจะทำการพ่นฆ่าเชื้อโรคแล้ว

เราก็ยังต้องดูแลรักษาความสะอาดในพื้นที่เป็นอย่างดี หากเป็นพื้นที่เปิดอาจมีการพ่นใช้ ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (H2O2) ควบคู่เพื่อให้มั่นใจ หมั่นทำความสะอาดพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ จึงจะสามารถป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ  รวมทั้งเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ข้อดีของการอบโอโวน ก็คือ ไม่มีสารตกค้าง จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาว ไม่จำเป็นต้องเก็บห้องเพื่อเตรียมอบโอโซน และยังสามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แถมมีราคาที่ไม่แพงด้วย แต่ทั้งนี้ การอบโอโซน ก็ไม่เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่

 หากใครสนใจอยากจะทำการอบโอโซนหรือพ่นฆ่าเชื้อโรคภายในอาคารบ้านเรือน ก็สามารถปรึกษาเราได้ เพราะให้บริการ ทำความสะอาดในลักษณะงานที่หลากหลาย มีผู้เชี่ยวชาญด้านทำความสะอาดในด้านต่าง ๆ และสามารถออกแบบรูปแบบงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรนั้น ๆได้อย่างมืออาชีพ

นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในการเข้าดำเนินงาน โดยมีการเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE การฝึกอบรมการทำงานภายใต้เงื่อนไข และข้อจำกัดในแต่ละองค์กรอย่างต่อเนื่อง ควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ทั้งนี้ ทางเรายังมีบริการ บริการทำความสะอาดภายใน ห้องพักผู้ป่วยและสำนักงาน ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง งานซักรีด ตัดแต่งสวนและภูมิทัศน์ บริการกำจัดแมลง เพื่อให้ลูกค้าได้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัยจากเชื้อโรค เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขเมื่ออยู่ในบ้าน

หน้า: [1] 2 3 ... 61